Thursday, April 14, 2016

ประชาธิปไตยไม่เคยได้มาจาก การร้องขอ

ประชาธิปไตยไม่เคยได้มาจาก การร้องขอ ในทุกๆ ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ตรงกัน พืชพันธุ์ประชาธิปไตย เติบโตได้ดีจากคราบเลือดและหยาดน้ำตาของเหล่า "วีรชน" เท่านั้น

———————————————————————

คำตอบสู่อนาคตที่ยั่งยืน ของขบวนแถวผู้รักประชาธิปไตยสยาม

ศิวา มหายุทธ์

ผ่านไปเกือบ 2 ปีนับแต่ คณะทหารทำรัฐประหารในเดือนพฤษภาคม2557 ความพยายามสถาปนาอำมาตยาธิปไตยอนุรักษ์นิยมเหนือสังคมและรัฐสยามระลอกใหม่อย่างเข้มข้นยังคงดำเนินต่อเนื่องโดยผ่านร่างรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุด ที่ย้อนยุคกลับไปมากกว่า 30 ปี ท่ามกลางการแสดงออกซึ่งพฤติกรรมของอำนาจรัฐเผด็จการอำมาตยาธิปไตยที่คล้ายคลึงกับบรรยากาศของรัฐในนวนิยาย 1984 ของจอร์จออร์เวลล์ และ นิทานเด็กอังกฤษ อลิซในแดนมหัศจรรย์ ซึ่งกำลังเคลื่อนย้ายจากเผด็จการอำนาจนิยมเข้าสู่ภาวะเผด็จการเบ็ดเสร็จเข้าไปทุกขณะ(และไม่ได้เหนือการคาดเดา) โดยเฉพาะการสร้าง"รัฐทหาร"อย่างเบ็ดเสร็จ (ที่ชัดเจนสุดคือการมอบให้อำนาจทหารทำการแทนตำรวจและหน่วยงานพลเรือนอื่นเต็มที่) แต่ที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่งคือขบวนการต่อสู้เพื่อเสรีภาพ และ ความยุติธรรมของผู้รักประชาธิปไตย ยังไม่สามารถตั้งขบวนที่มีประสิทธิภาพในการตีโต้เชิงรุกต่อพลังของพันธมิตรเผด็จการอำมาตยาธิปัตย์ที่นำโดยกองทัพได้เลยแม้แต่น้อยยังคงมียุทธศาสตร์ที่แตกกระจาย อาศัยประสบการณ์เดิมๆอย่างอ่อนเปลี้ย ไม่สามารถสร้างเงื่อนไข"กินข้าวทีละคำ เพือ่กินทั้งสำรับ"ได้เลย ตกเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างไร้กระบวนท่าและขาดเอกภาพ


ในระยะยาว หากขบวนแถวผู้รักประชาธิปไตยยังดำรงสภาพเช่นนี้ โอกาสในการสถาปนาอำนาจรัฐประชาธิปไตยที่ยั่งยืนยังคงมืดมนยิ่งกว่าหลายเท่า แม้ว่าเราจะได้เห็นการพังทลายของรัฐบาลเผด็จการเป็นครั้งคราวแต่ก็จะยากที่จะหลุดพ้นจากวัฏจักรชั่วร้ายของพลังเผด็จการที่หวนคืนมาไม่จบสิ้นอย่างมั่นคงได้


ความพยายามสถาปนาอำนาจรัฐอำมาตยาธิปไตยอนุรักษ์นิยมภายใต้คำขวัญสวยหรูว่าปฏิรูปประเทศ แม้จะถูกต่อต้านจากขบวนแถวผู้รักประชาธิปไตย แต่ความพยายามรุกคืบของพวกมันก็ยังคงได้รับการยอมรับจากหลายภาคส่วนที่เป็นพันธมิตรซึ่งมีปริมาณอยู่ค่อนข้างมากพอสมควรและมีการจัดตั้งที่แข็งแกร่ง นับแต่

1) ผู้นำและอดีตผู้นำกองทัพระดับกลางและสูง ที่ได้เสวยสุขจากการเถลิงอำนาจเหนือรัฐอย่างเบ็ดเสร็จการเคลื่อนตัวของนายทหารและอดีตนายทหารตำนานสำคัญในรัฐวิสาหกิจอย่างมากมายไม่ต่างจากยุคถนอม-ประภาส และ งบประมาณทางทหารที่เพิ่มมากขึ้น ไม่นับรายได้พิเศษจากการบริจาค(แท้จริงคือการปล้นธรรมดา)ในโครงการนอกงบประมาณที่คิดขึ้นมาอีกต่างหาก


2) กลุ่มชนชั้นสูง (รวมชนชั้นปกครองเก่าที่หวังทวงอำนาจกลับคืน)และนายทุนผูกขาดใหญ่ ที่มุ่งหวังยึดกุมอำนาจเหนือเพื่อรักษาส่วนแบ่งจากส่วนเกินทางเศรษฐกิจจากการผูกขาดตัดตอนธุรกิจเหนือกลุ่มอื่นในสังคมผ่านสายสัมพันธ์สมคบคิดระหว่างทุนใหญ่–กองทัพ-ข้าราชการระดับสูง-เครือข่ายราชสำนัก


3) ชนชั้นกลางในเขตเมืองใหญ่ที่เบื่อหน่ายและรู้สึกไม่มั่นคงปลอดภัยทางจิตใจและสถานภาพทางสังคมที่คุ้นเคยกับระบบสายสัมพันธ์ทางผลประโยชน์ที่คุ้นเคยจากข้อรังเกียจร่วมต่อบทบาทของนักเลือกตั้งอาชีพ-ระบบการเมืองแบบตัวแทน และการชุมนุมทางการเมืองที่เกิดจากความขัดแย้งของกลุ่มพลังต่างๆโดยเฉพาะการปรากฏตัวเพื่อขอมีส่วนร่วมในอำนาจของพลังใหม่ที่เป็นชนชั้นกลางในต่างจังหวัดและชนชั้นรากหญ้าที่เคยถูกกีดกันให้อยู่นอกระบบสายสัมพันธ์ดังกล่าว


4)ข้าราชการหรือพนักงานในองค์กรรัฐที่มีจำนวนมากกว่า 1.5 ล้านคน ที่คุ้นเคยกับการรักษาพื้นที่ทางอำนาจนำ และระบบทำงานเช้าชามเย็นชามทีเน้นความสำคัญของเจตนารมย์ของมวลชนต่ำกว่าเจตนารมณ์ของรัฐรู้สึกเกลียดชังนักการเมืองจากการเลือกตั้งทุกระดับในฐานะคนนอก ที่มีอำนาจผ่านกลไกทางลัดของการเลือกตั้งมาอยู่เหนือพวกเขาอย่างขาดความชอบธรรม


5)กลุ่มนักพัฒนาเอกชนประเภทโลกสวยที่แพร่กระจายความเกลียดชังระบบการเมืองแบบตัวแทนผ่านการเลือกตั้งแต่มุ่งสร้างการเมืองโดยตรงที่ผิดเพี้ยนของประชาชน ถึงขั้นยอมสมคบคิดกับพลังเผด็จการเพื่อหวังว่าจะสามารถมีประชาธิปไตยโดยตรงผ่านตัวแทนบางคนของพวกเขาโดยช่องทางการสรรหาหรือลากตั้งอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ


6) ประชาชนทั่วไปที่มีความภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ เข้าใจและเชื่ออย่างสนิทใจ จากผลลัพธ์ของกระบวนการกล่อมเกลายาวนานว่าขบวนแถวประชาธิปไตยและการเคลื่อนไหวเพื่อเสรีภาพทุกชนิดล้วนเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐและบ่อนทำลายสถาบันกษัตริย์


7) อดีตนักสู้เพื่อประชาธิปไตยในอดีต ที่เปลี่ยนสีแปรธาตุมาเอาชื่อเสียงในอดีตมาทำภารกิจเป็นฐานสนับสนุนและกระบอกเสียงพลังอำมาตยาธิปไตยอย่างเปิดเผย เพื่อแสวงหาลาภยศและอำนาจส่วนบุคคล


8) พรรคการเมืองฉวยโอกาส รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ ที่พร้อมจะยอมตน"กินเศษเนื้อข้างเขียง"ผ่านการเล่มเกมหลายหน้าสนับสนุนและร่วมมือในหลักการหรือสาระสำคัญกับอำนาจเผด็จการ แต่คัดค้านในประเด็นสัพเพเหระปลีกย่อยเพื่อเรียกเพิ่มในการต่อรองผลประโยชน์ส่วนตัวในที่ลับ


กลุ่มผู้สนับสนุนและพันธมิตรพลังเผด็จการอำมาตยาธิไตยทั้ง8 กลุ่มนี้ แม้ว่าบางครั้งจะขัดแย้งกันเองภายในเป็นครั้งคราวหรือบ่อยครั้งแต่จุดยืนร่วมของพวกเขาในการบดขยี้พลังประชาธิปไตยยังเข้มข้นเหนียวแน่น ล้วนเป็นภาระอันหนักอึ้งที่ขบวนแถวผู้รักประชาธิปไตยต้องฝ่าฟันและก้าวข้ามไปให้ได้

การเอาชนะพลังอำมาตยาธิไตยที่ค่อนข้างยากลำบากเช่นนี้จำเป็นต้องระดมสรรพกำลังที่เป็นเอกภาพของขบวนแถวผู้รักประชาธิปไตยอย่างมีการจัดตั้งที่แน่นอนแต่ยืดหยุ่น เพื่อไปบรรลุเป้าหมาย ไม่ใช่การพึ่งพายุทธศาสตร์"ซุ่มซ่อนยาวนาน สะสมกำลัง รอคอยโอกาส"(ที่บางครั้งเป็นแค่ข้อแก้ตัวอำพรางความไร้ประสิทธิภาพของการจัดตั้ง)เพื่อที่จะวาดหวังว่าการเสื่อมถอยของพลังอำมาตยาธิไตยจะเกิดขึ้นเองจากปัจจัยที่เพ้อฝันดังต่อไปนี้คือ

1) พลังเผด็จการพังทลายจากความขัดแย้งภายในที่ประนีประอมกันไม่ได้ของบรรดาผู้สนับสนุนหรือพันธมิตร ผ่านการรัฐประหารซ้อน หรือยืมหรือพึ่งพลังประชาธิปไตยเป็นพลังหนุนในการโค่นอำนาจกันเอง

2) มุ่งหวังให้ประชาคมโลกปิดล้อมเผด็จการจนยอมคืนอำนาจให้ประชาชน


3) มุ่งหวังให้เศรษฐกิจภายใต้อุ้งเท้ารัฐบาลเผด้จการพังทลาย จนขาดความชอบธรรม


4) มุ่งหวังว่าการเปลี่ยนผ่านตัวกษัตริย์จะนำไปสู่แสงสว่างใหม่ของกษัตริย์นักประชาธิปไตยในอุดมคติแบบสเปน ญี่ปุ่น อังกฤษ หรือสวีเดน
การพูดถึงความเป็นไปไม่ได้ในการสถาปนาอำนาจรัฐประชาธิปไตยในที่นี้ไม่ใช่เพื่อชี้ถึงความสิ้นหวัง แต่ต้องการวิเคราะห์เงื่อนไขและสถานการณ์ปัจจุบันและอนาคตว่าตราบใดที่ขบวนแถวของผู้รักประชาธิปไตย ที่รักความยุติธรรม และเชิดชูเสรีภาพของประชาชนยังไม่สามารถค้นหา"สูตรแห่งชัยชนะ"ในการต่อสู้ทุกเวทีทางอำนาจ (การต่อสู้ในรัฐสภาการต่อสู้บนท้องถนน การต่อสู้ในเวทีสื่อ การต่อสู้ในเวทีสากล และการต่อสู้ด้วยกองกำลัง)แล้วยังไม่สามารถกำหนดยุทธศาสตร์ และจังหวะก้าวไปสู่กระบวนการต่อสู้เพื่อ"กินข้าวทีละคำเพื่อกินหมดทั้งสำรับ"แล้ว รัฐประชาธิปไตยที่จะเกิดขึ้นหลังอำนาจรัฐเผด้จการพังทลายในอนาคตย่อมไม่มีทางยั่งยืน เพราะอำนาจเผด็จการรูปแบบใหม่ อาจย้อนคืนมาแย่งยึดกลับไปอีกได้อย่างง่ายดายหากมีเงื่อนไขในการทวงอำนาจคืนสุกงอม ภายใต้ข้ออ้างที่เราได้เห็นซ้ำซากในรอบ 84ปีนับแต่ พ.ศ. 2475 เป็นต้นมาคือ"รักษาความสงบ รักษาความมั่นคง ป้องกันและขจัดคนโกงและ รักษาสถาบันกษัตริย์"

เป้าหมายของขบวนแถวผู้รักประชาธิปไตยในระยะเฉพาะหน้าต้องมุ่งไปที่การโค่นล้มอำนาจเผด็จการอำมาตยาธิปไตยเพื่อทวงคืนประชาธิปไตยกลับคืนมาไม่ได้ผิดพลาด แต่หากขบวนแถวนี้ต้องละเลยที่จะสร้างเป้าหมายระยะยาวของการสถาปนารัฐประชาอธิปไตยที่แท้จริงนั้นคือเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐสยามที่รวมศูนย์กระจุกในปัจจุบัน ไปสู่โครงสร้างและระบอบใหม่ที่กระจายศูนย์โดยมวลประชาชนที่รักความยุติธรรมและเสรีภาพ สามารถควบคุมเจตนารมย์และปฏิบัติการของรัฐ ได้ทั้งการใช้อำนาจทางตรง และทางอ้อมผ่านตัวแทน

การเมินเฉยต่อการออกแบบเพื่อสถาปนารัฐประชาธิปไตยที่ยั่งยืนในอนาคตแต่มุ่งหวังภารกิจเฉพาะหน้าเพื่อโค่นล้มเผด็จการอำมาตยาธิปไตยอย่างเดียว จะเป็นการเปิดช่องว่างให้กับ3 ปัจจัยหลักที่ถ่วงรั้งไม่ให้ประชาธิปไตยคืบหน้า ดำรงอยู่ต่อไปอย่างโยงใยกันต่อไปนั่นคือ


1) อิทธิพลของชนชั้นนำภาครัฐที่เคยผูกขาดอำนาจการปกครองเหนือสังคมมายาวนานกว่า100ปี จะดำรงอยู่สร้างเงื่อนไขเผด็จการกลับมาซ้ำซาก


2) ฐานะครอบงำของวัฒนธรรมการเมืองแบบอำนาจนิยมซึ่งไม่สอดคล้องกับระบอบสังคมประชาธิปไตย จะดำรงอยู่อย่างเข้มข้นไม่จบสิ้น


3) สภาพที่พลังของขบวนแถวผู้รักประชาธิปไตยที่ไม่มีลักษณะคงเส้นคงวาและเปราะบาง สุ่มเสี่ยงต่อการถูกทำลายทั้งจากภายในแปละภายนอก

ที่ผ่านมา ผู้รักประชาธิปไตยได้ผ่านประสบการณ์อันคดเคี้ยวของการต่อสู้โดยเฉพาะนับตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เป็นต้นมาและได้ประจักษ์ชัดถึงพลังที่หวนกลับมาหลายระลอกของพันธมิตรเผด็จการกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าที่มุ่งทำลายโอกาสของประเทศในการที่จะเชื่อมร้อยการเมืองมวลชนเข้ากับการทำงานของระบบรัฐสภาและทำลายพื้นที่สำหรับพรรคการเมืองแบบทางเลือกในตัวระบบรัฐสภา รวมทั้งปฏิเสธการกระจายอำนาจสู่มือประชาชนทุกระดับในทุกรูปแบบแล้วยัดเยียดส่งมอบอำนาจเผด็จการในนามของ"ประชาธิปไตยเทียม(ครึ่งใบหรือชื่ออื่นๆ))"ที่มีเงื่อนไขสร้างรัฐเผด็จการอำนาจนิยมที่เข้มข้น โดยที่นักการเมืองบางส่วนที่พึงพอใจกับการมีส่วนร่วมเพียงแค่"กินเศษเนื้อข้างเขียง"มาช่วยตกแต่งหน้าฉากประชาธิปไตยเทียมเพื่อปกป้องฐานะการนำกลุ่มอำนาจเดิมในฐานะ"คนเชิดหุ่น"เพื่อสมคบคิดร่วมกับกลุ่มทุนผูกขาดยังสามารถหยั่งรากลึกดูดความมั่งคั่งต่อไปให้เนิ่นนานที่สุดเท่าที่เป็นไปได้


เผด็จการอำมาตยาธิปไตยและพันธมิตรนั้นไม่มีทาง"ลงจากหลังเสือ"ด้วยตนเอง เพราะพวกมันไม่เคยเพียงพอกับการมีและใข้อำนาจยิ่งพวกมันมีความรู้สึกไม่มั่นคงจากการถูกท้าทายมากเท่าใด และยิ่งรู้ตัวดีว่าขาดความชอบธรรมมากเพียงใดความเข้มข้นของการใช้อำนาจ(รวมทั้งการแปลงร่าง เช่น เปลี่ยนหัว หรือเสริมสวยใหม่) เพื่อปกป้องอำนาจจะเพิ่มขึ้นตามกันอย่างถึงที่สุด


ผู้เขียนและคณะขอย้ำอีกครั้งว่าประสบการณ์ลุ่มๆดอนๆของพลังประชาธิปไตยสยาม จะก้าวย่างไปบนแนวทางที่เป็นไปได้อย่างรูปธรรมมากที่สุดไม่ทำการต่อสู้ในสภาพ"ผู้ถูกกระทำ"(ที่รวมเอาการถูกกุมตัวไปปรับทัศนคติด้วยอำนาจเถื่อนของกองทัพ) ต่อเนื่องยาวนานโดยไม่มีพื้นที่ว่างสำหรับชัยชนะเสียเลย เป็นสิ่งที่เป็นไปได้และไม่ยากลำบากเกิน ด้วยการ

-1) เร่งจัดตั้งแนวร่วมประชาธิปไตยทีมีเอกภาพทางยุทธศาสตร์แต่หลากหลายในยุทธวิธี เพราะพลังที่ไร้จัดตั้ง แล้วคาดหวังจะนำไปสู่ชัยชนะ เป็นความเพ้อฝัน

-2) สร้างยุทธศาสตร์ "กินข้าวทีละ เพื่อกินทั้งสำรับ"ด้วยการออกแบบรัฐสยามในอนาคตเป็นสหพันธรัฐ(ดังที่ได้เคยเสนอไว้ในข้อเขียน สหพันธรัฐสยาม คืนจารีตและประวัติศาสตร์ให้ท้องถิ่น,16 กุมภาพันธ์ 2558, มาแล้ว)

สหพันธรัฐสยามคือการย้อนรอยโครงสร้างในรูปแบบรัฐเครือข่าย ที่ดัดแปลงจาก"รัฐแสงเทียน"(candle-lightcity states) ของสยามโบราณ ก่อนที่ราชธานีในยุคกรงศรีอยุธยา และต่อมาการปฏิรูปการปกครองพ.ศ. 2430 (ค.ศ.1887) ในสมัยรัชกาลที่ 5 ราชวงศ์จักรีจะทำลายล้างไปจนหมดสิ้น


เมืองประเทศราชหรือรัฐแสงเทียนในสยามโบราณสหพันธรัฐสยามได้สร้างตำนานและวัฒนธรรมของสังคมสยามที่ประกอบด้วยคนหลายชาติพันธุ์และความเชื่อ เรื่องราวที่ส่งผ่านประวัติศาสตร์ท้องถิ่นตำนานศาสนา หรือ นิทานพื้นบ้านมากมายทั้งทางตรงและทางอ้อม เป็นประจักษ์พยานของรูปแบบรัฐท้องถิ่นโบราณอย่างลึกซึ้ง


รัฐแสงเทียนและชุมชนอิสระเหล่านี้ได้ถูกกวาดต้อนเข้ามาภายใต้โครงสร้างรัฐแบบตะวันตกตั้งแต่การปฏิรูปปกครอง พ.ศ. 2430 ภายใต้แนวคิด"รัฐชาติเดี่ยว"ที่ถอดแบบจากยุคล่าอาณานิคมของตะวันตก จากการเร่งกระชับอำนาจของราชธานีอย่างเข้มข้นเพื่อตอบโต้การคุกคามของตะวันตก แปลงอำนาจและอิสรภาพของหัวเมืองท้องถิ่นเป็นพื้นที่อำนาจส่วนกลางเบ็ดเสร็จจนไม่สามารถสนองตอบความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม วิถีชีวิต ภาษา และเจตจำนงท้องถิ่นได้แม้แต่น้อย

โครงสร้างรัฐแบบสหพันธรัฐร่วมสมัยของรัฐสยามที่ผู้เขียนและคณะนำเสนอจะเป็นประโยชน์และให้คำตอบที่เหมาะสมพร้อมกัน 2 ด้านเลยทีเดียวคือ

-1) การจัดรูปขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในยุทธศาสตร์และยุทธวิธี

-2) หลังจากขบวนการประชาธิปไตยได้รับชัยชนะแล้ว สร้างรัฐที่อำนวยให้เกิดบูรณาการของประชาธิปไตย(ยุติธรรม เสรีภาพ เสมอภาค และกระจายอำนาจ) ได้ยั่งยืนกว่า


ในช่วงเวลาการต่อสู้กับอำนาจรัฐเผด็จการ กลุ่มผู้ร่วมขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของสยามยังมีความแตกต่างหรือขัดแย้งในเชิงอุดมการณ์และทฤษฎีที่เหลื่อมซ้อนกันอยู่ จนกระทั่งยากที่จะก่อรูปขึ้นมาเป็นองค์กรนำขนาดใหญ่ที่มีเอกภาพได้จำเป็นต้องใช้ยุทธศาสตร์ "เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ"ให้มีการจัดตั้งเป็นอิสระและพึ่งตนเองของหน่วยการต่อสู้ในทุกเวที ภายใต้สภาพที่เป็นจริงของแต่ละพื้นที่เพื่อที่จะเรียนรู้ ยกระดับการจัดตั้งแต่ละพื้นที่ให้เหมาะสมและยืดหยุ่น ผ่านการพึ่งตัวเอง


​ การจัดตั้งอย่างเป็นอิสระและพึ่งตัวเองในแต่ละพื้นที่แต่ประสานกับพื้นที่ต่างๆ จะช่วยให้ขบวนการประชาธิปไตยสยาม ดำเนินการรุกทางการเมืองภายใต้สถานการณ์ที่เป็นจริงพร้อมกับสั่งสมประสบการณ์การต่อสู้ในทุกด้าน (เศรษฐกิจ การชุมนุมเรียกร้องการระดมสมาชิก หรือสร้างแนวร่วม รวมทั้งการยกระดับจิตสำนึกของผู้เข้าร่วมขบวน)เพื่อสร้างแนวร่วมประชาชาติประชาธิปไตย

​ การจัดตั้งแบบสหพันธรัฐในระหว่างการต่อสู้ จะปูทางให้เกิดสภาพของสหพันธรัฐในทางปฏิบัติโดยเบื้องต้นสามารถแบ่งกลุ่มอย่างหยาบๆได้ 6 กลุ่มดังนี้ คือ

-1) ภาคเหนือตอนบน

-2) ภาคเหนือตอนล่าง

-3) ภาคอีสานเหนือ

-4) ภาคอีสานใต้

-5) ภาคตะวันออก

-6) สามจังหวัดภาคใต้

ซึ่งจะทำให้เกิดการการเชื่อมร้อยอดีตเข้ากับปัจจุบันและอนาคตอย่างแนบเนียนไร้รอยตะเข็บ

​ ส่วนพื้นที่อื่นเช่นกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคกลาง และภาคใต้ที่ไม่ใช่สามจังหวัดนั้นเนื่องจากอยู่ใกล้และอยู่ใต้อิทธิพลเข้มข้นของศูนย์อำนาจรัฐเดิมอย่างมาก ในระหว่างการต่อสู้อาจจะไม่สามารถจัดตั้งขบวนต่อสู้ได้อย่างเปิดเผยจึงไม่ได้ระบุถึงรูปธรรมของขบวนการที่ชัดเจน จนกว่าเมื่อได้ชัยชนะเหนืออำนารัฐเผด็จการเดิมไปแล้วก็ถือเป็นภารกิจของมวลชนในพื้นที่ดังกล่าวจะเลือกเอารูปแบบที่เหมาะสมกับพื้นที่เอง


ทางเลือกของยุทธวิธีสร้างกลุ่มจัดตั้งดังกล่าวสามารถนำภูมิปัญญาท้องถิ่นกลับมาประยุกต์ใช้อย่างมีพลัง แสดงความเคารพต่อเกียรติและศักดิ์ศรีของพลเมืองในทุกภาคส่วนเป็นการปูทางสร้างรัฐแบบเครือข่ายขึ้นมาแทนที่รัฐชาติเดี่ยว ซึ่งสอดคล้องกับข้อเรียกร้องของมวลชนทั่วโลกที่เรียกร้องหาการลดขนาดรัฐให้เล็กลงสอดคล้องกับพัฒนาการของความรู้และเทคโนโลยีร่วมสมัยของโลกทุกสาขา

โครงสร้างกลุ่มจัดตั้งแบบสหพันธรัฐนี้ เมื่อพลังประชาธิปไตยมีสามารถยึดอำนาจรัฐมาได้แล้วจะแปรเปลี่ยนเป็นโครงสร้างรัฐใหม่ที่มีรัฐบาลกลางและท้องถิ่นในรูปแบบรัฐเครือข่ายที่หลากหลาย(อย่างน้อย 6 รูปแบบข้างต้น) ซึ่งสามารถถ่วงดุลกันและกัน สอดคล้องกับวิถีชีวิต วัฒนธรรม และการจัดการเชิงอำนาจของแต่ละพื้นที่อย่างเป็นไปได้ที่สุด


รูปแบบจัดตั้งแบบสหพันธรัฐ ที่มีทั้งรัฐบาลท้องถิ่นและรัฐบาลกลาง (ทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดเป็นมหาชนรัฐ)ยังสามารถตอบโจทย์สำคัญของสังคมสยามในปัจจุบัน ที่ทหารทำตัวเป็นคนเถื่อนถืออาวุธทำรัฐประหารได้ตามอำเภอใจ เพราะทหารในกองทัพสหพันธรัฐ จะถูกเงื่อนไขให้ไม่สามารถยึดอำนาจรัฐเบ็ดเสร็จได้เลยจำต้องถูกแปรสภาพเป็นกองทัพรัฐบาลกลางที่มีหน้าที่หลักป้องกันประเทศเป็นสำคัญ ไม่ใช่มีภารกิจมุ่งยึดอำนาจสร้างรัฐเผด็จการ

สหพันธรัฐ ยังสามารถช่วยให้การจัดเก็บภาษีของรัฐและการใช้จ่ายของรัฐมีประสิทธิภาพสูงขึ้นเนื่องจากรัฐบาลท้องถิ่นจะมีความใกล้ชิดและตอบสนองความต้องการของกลุ่มธุรกิจเอกชนและชุมชนผ่านกระบวนการตรวจสอบหลายขั้นตอนที่มีประสิทธิภาพและถ่วงดุลภายใต้รัฐแบบสหพันธรัฐจะทำให้ผู้รักประชาธิปไตยสยาม สามารถก้าวข้ามคำถามที่วนเวียนแบบวงจรอุบาทว์ทั้งในระหว่างและหลังการต่อสู้กับพลังเผด็จการอำมาตยาธิปไตย

ขอย้ำอีกครั้งว่า ข้อเสนอนี้เป็นทางออกที่ผู้รักประชาธิปไตยจะสามารถตอบโจทย์ทั้งระยะสั้นและระยะยาวได้อย่างบูรณาการในการต่อสู้กับเผด็จการอำมาตยาธิปไตยและพันธมิตร

************** ขอขอบคุณ เจ้าของบทความ ************



ขอส่งความปรารถนาดีให้ ครอบครัว เสรีไทย ทุกๆท่าน


"รายงานสิทธิมนุษยชน" ของสหรัฐอเมริการะบุ ไทยละเมิดสิทธิมนุษยชน

"รายงานสิทธิมนุษยชน" ของสหรัฐอเมริการะบุ ไทยละเมิดสิทธิมนุษยชน

-----------------------------------------------------------------------------

นายจอห์น แคร์รี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาประกาศเปิดตัวรายงานการปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศต่างๆ ประจำปี พ.ศ. 2558 ("รายงานสิทธิมนุษยชน") เมื่อวันที่ 13 เมษายน รายงานประจำปีฉบับนี้ครอบคลุมสิทธิพลเมือง สิทธิด้านการเมือง และสิทธิของแรงงานอันเป็นที่ยอมรับของนานาชาติซึ่งสะท้อนถึงสิทธิต่างๆ ที่ระบุไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อตกลงระหว่างประเทศและอื่นๆ รายงานการปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชนที่จัดทำขึ้นตามคำสั่งของสภาคองเกรสเหล่านี้บรรยายถึงสถานภาพด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศและดินแดนต่างๆ เกือบ 200 ประเทศ โดยนำเสนอปัญหาท้าทายที่ปัจเจกชนและองค์กรต่างๆ เผชิญเนื่องจากรัฐบาลไม่ได้ดำเนินการตามพันธกิจส่งเสริมสิทธิมนุษยชนสากลได้อย่างที่ควร รายงานการปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชนในส่วนที่เกี่ยวกับประเทศไทยในปีนี้ชี้ให้เห็นว่า ไทยยังคงมีข้อจำกัดด้านเสรีภาพของพลเมืองและเสรีภาพทางการเมืองอยู่ ตลอดจนการละเมิดสิทธิมนุษยชนในบริบทของการก่อความไม่สงบอย่างต่อเนื่องในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้และปัญหาอื่นๆ ด้านสิทธิมนุษยชน เชิญอ่านรายงานในส่วนที่เกี่ยวกับประเทศไทยฉบับเต็มได้ที่ 


Secretary of State John Kerry announced the release of the 2015 Country Reports on Human Rights Practices ("the Human Rights Reports") on April 13. The annual reports cover internationally recognized civil, political, and worker rights, reflecting those set forth in the Universal Declaration of Human Rights, international agreements, and elsewhere. These Congressionally mandated reports chronicle human rights conditions in almost 200 countries and territories around the world. The reports draw attention to challenges facing individuals and organizations where governments fall short of their obligations to uphold universal human rights. This year's Country Report for Thailand points out continuing limitations on civil and political liberties, abuses in the context of the continuing insurgency in the three southernmost provinces, and other human rights challenges. Find a copy of Thailand's full report here 



Wednesday, April 13, 2016

"คนไทยยังโง่ ทหารฉลาดจึงต้องช่วยจัดการประเทศตลอดไป!!" --ดร. เพียงดิน รักไทย 14 เมษายน 2559

"คนไทยยังโง่ ทหารฉลาดจึงต้องช่วยจัดการประเทศตลอดไป!!" --ดร. เพียงดิน รักไทย 14 เมษายน 2559

https://youtu.be/q2kKueadHFI

https://youtu.be/yPkdG9cx3Vw

https://youtu.be/w6fjbDMk2Fg

https://youtu.be/rpDVcWNhS58

 

----------------------

สนับสนุนแนวทางมดแดงล้มช้าง ของ คณะราษฎรเสรีไทย กับ ดร. เพียงดิน

ส่งข้อมูลลับผ่านช่องทางที่ปลอดภัยทางลิ้งค์ต่อไปนี้

http://tinyurl.com/o2rzao8

หรือที่นี่ http://tinyurl.com/pcqjppt

และรายงานการปฏิบัติงานและความคืบหน้าเครือข่าย ได้ที่ 4everche@gmail.com

----------------------

สนับสนุนการเผยแพร่โดย ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน และมหาวิทยาลัยประชาชน เพื่อสาธารณะประโยชน์ ในการสร้างจิตสำนึกทางประชาธิปไตย สันติวิธี และการเคารพหลักสิทธิมนุษยชน

ใครคือผู้สร้างสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้

ใครคือผู้สร้างสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้

Posted on April 9, 2016 by | Leave a comment | Edit

59

ใครคือผู้สร้างสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้

ผมได้เห็นบทความของหลายสำนักข่าว ตีข่าวใหญ่เรื่อง ระเบิดขนาดใหญ่ 160 กิโล ที่ยะลา แล้วก็หวนคิดถึง ระเบิดที่หน้าศาลอาญารัชฏา ที่จับแพะเป็นจำนวนมากได้ ลามไปถึงน้องแหวน พยานปากเอกคดี ทหารฆ่าประชาชนในวัดประทุม 6 ศพ แล้ว ก็เกิดข้อสงใส เหมือนกัน เหตุที่ต้องสงใส

เพราะ…………..

1. ตกลงทหารที่สมัย อุดมแดก อดีต ผบ.ทบ.. กล่าวไว้ว่าจะถอนทหารรออกจากพื้นที่ 3 จังหวัดชานแดนใต้ไม่ถอนแล้วใช่ไหม เพราะต้องการกวาดล้างโจรใต้ให้สิ้น ภายใน 6 เดือน

2. ตกลงชีวิตของพี่น้องชาว ยะลา นรา ปัตตานี กว่า 8 พันกว่าศพ ที่ต้องสังเวย ทหารทรราช คสช. ยังคงดำรงอยู่ต่อไป งั้นหรือ

3. และตกลงว่างบประมาณ ของแผ่นดินที่ทหารทรราช ถลุงไปกว่า หลายแสนล้านบาท เป็นการ ตำน้ำพริก ละลายแม่นำ้โก-ลกงั้นซิ

4. แผนการสร้างสถานการณ์ นำต้นแบบ และวิธีการมาจาก ระเบิดหน้าศาลอาญารัชฏาใช่หรือไม หากไม่ใช่ ทำไมวิธีการ ชั่งเหมือนกันเหลือเกิน

5. งบประมาณและอายุราชการของทหารที่ได้ จากการลงไปพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ มีความหอมหวานถึงขนาดต้องฆ่าต้องแกง ประชาชน เพื่อให้สมจริงได้ถึงขนาดนี้หรือ ความเป็นคนไม่หลงเหลืออยู่เลยหรือในกมรสันดานของ ทรราช คสช.

———————————————————–

สิ่งที่เห็น อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น!


เหตุรุนแรง 2 เหตุการณ์สำคัญ คือ คนร้ายกว่า 50 คนบุกยึดโรงพยาบาลเจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 13 มี.ค. และกรณีคนร้าย 7-8 คน ปล้นรถสองสามีภรรยาจาก อ.บันนังสตา จ.ยะลา ก่อนนำไปบรรทุกระเบิด แล้วบังคับให้ขับไปจอดเพื่อก่อวินาศกรรมกลางเมืองยะลา เมื่อวันที่ 5 เม.ย.นั้น กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางทั้งในและนอกพื้นที่สามจังหวัด ชายแดนภาคใต้

เป็นการถูกพูดถึงในแง่ของการตั้งคำถามเกี่ยวกับรายละเอียดของเหตุการณ์ที่ เต็มไปด้วยข้อสงสัย แม้ว่าทั้งสองเหตุการณ์จะไม่ได้นำมาซึ่งความสูญเสียขนาดใหญ่ก็ตาม

รายงานพิเศษชิ้นนี้ไม่ได้มีเจตนาชี้นำความคิดหรือความเชื่อใดๆ ทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงการรวบรวมข้อสังเกตของฝ่ายต่างๆ ประกอบข้อมูลและบทวิเคราะห์ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงบางหน่วยมานำเสนอ เท่านั้น

ทั้งนี้เพื่อสะท้อนว่าพื้นที่ชายแดนใต้ยังคงเป็นดินแดนสนธยา และเต็มไปด้วยความซับซ้อนจริงๆ

ยึด รพ.ใช้กระสุนเปลือง!

เริ่มจากเหตุคนร้ายบุกยึดโรงพยาบาลเจาะไอร้อง เพื่อใช้เป็นที่มั่นและจุดสูงข่มในการระดมยิงฐานทหารพราน กองร้อยทหารพรานที่ 4816 ซึ่งตั้งอยู่ติดกับรั้วโรงพยาบาล แม้จนถึงขณะนี้จะมีข้อมูลยืนยันจนสิ้นสงสัยแล้วว่าไม่ได้เป็นการกระทำใน ลักษณะ "จัดฉาก" ของเจ้าหน้าที่รัฐบาลทรราช ด้วยกันเอง

ทว่าก็ยังมีข้อสงสัยว่าอาจเป็นการ "สร้างสถานการณ์" โดยใครหรือกลุ่มใด เพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกเหนือจากการแสดงศักยภาพของขบวนการที่อ้างอุดมการณ์ แบ่งแยกดินแดนหรือไม่

ประเด็นที่ตั้งข้อสังเกตกันมากก็คือ ปลอกกระสุนของคนร้ายที่ตรวจพบในที่เกิดเหตุซึ่งมีมากถึง 1,825 ปลอก จากปืนสงคราม 52 กระบอก เหตุใดถึงได้ยิงกันอย่างฟุ่มเฟือยถึงเพียงนี้ ราวกับกระสุนเป็นของหาง่าย

ประเด็นนี้ผู้เชี่ยวชาญหลายรายมองตรงกันว่า ที่ผ่านมาหากเป็นปฏิบัติการของนักรบบีอาร์เอ็น การยิงจะมุ่งผลสัมฤทธิ์มากกว่านี้ และใช้กระสุนประหยัดกว่านี้ เนื่องจากกระสุนหายาก และอาวุธของบรรดานักรบเกือบทั้งหมดได้ไปจากการปล้นชิงเจ้าหน้าที่

ขณะเดียวกัน ในขณะที่ยิงกันอย่างสะบั้นหั่นแหลกถึงเกือบ 2 พันนัด แต่กลับไม่ได้ก่อความสูญเสียต่อชีวิตของทหารพรานภายในฐานเลย มีเพียงผู้ได้รับบาดเจ็บ 7 นาย เป็นทหารพราน 6 นาย และ อส.1 นาย

ข้อสังเกตนี้ไม่ได้มีขึ้นเพราะต้องการให้เกิดความสูญเสีย แต่ด้วยความที่คนร้ายอยู่ในจุดสูงข่มที่สามารถเลือกยิงได้ถนัดถนี่ ขณะที่ฝ่ายทหารก็ไม่กล้ายิงตอบโต้ เพราะคนร้ายใช้โรงพยาบาลซึ่งมีผู้ป่วยและหมอ พยาบาลเป็นสถานที่กำบัง แต่ด้วยวิถีการยิงที่ได้เปรียบ กับการใช้กระสุนจำนวนมาก กลับไม่อาจก่อผลที่สมกับรูปแบบความรุนแรงที่ได้กระทำ

ยิ่งไปกว่านั้น อาวุธปืนสงคราม 52 กระบอกที่คนร้ายใช้ มีเพียง 18 กระบอกที่มีประวัติในสารบบของฝ่ายความมั่นคงว่าเคยใช้ก่อเหตุรุนแรงมาก่อน แสดงว่าอาวุธปืนอีกถึง 34 กระบอก หรือเกือบ 2 เท่า เป็นอาวุธที่ไม่เคยถูกนำมาใช้ หรือเคยใช้แต่ไม่เคยถูกเก็บประวัติ (ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้)

คำถามคืออาวุธเหล่านี้มาจากไหน?


ขณะที่การติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุอุกอาจถึงขั้นควงอาวุธบุกยึดโรง พยาบาล เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบก็อยู่ในอาการมืดแปดด้าน หมายจับที่ออกมาแล้ว 2-8 หมาย เป็นการออกตามประวัติการใช้ปืน 18 กระบอกในพื้นที่ 5 อำเภอของ จ.นราธิวาสเป็นหลัก ซึ่งต้องเรียกว่าเป็น "ฐานข้อมูลเก่า"

ที่สำคัญ ผู้ก่อเหตุหลายคนไม่ได้ใช้ผ้าหรือหมวกคลุมศีรษะปกปิดใบหน้า ซ้ำยังเดินผ่านกล้องวงจรปิดแบบไม่กลัวใครจำได้อีกด้วย

7ข้อสงสัยปล้นรถ-ซุกบอมบ์

เหตุการณ์ที่ 2 กรณีคนร้ายปล้นรถของลุงกับป้า สองสามีภรรยาจากพื้นที่บันนังสตา แล้วนำระเบิดถังแก๊ส 2 ถัง น้ำหนักระเบิด 160 กิโลกรัมยัดใส่รถ จากนั้นบังคับให้คุณลุงขับรถเข้าไปจอดกลางเมืองยะลาเพื่อกดระเบิด

ยุทธวิธีของกลุ่มคนร้าย นอกจากจะจับคุณป้าแยกขึ้นรถไปอีกคันเพื่อเป็นตัวประกันแล้ว ยังให้คุณลุงสวมเสื้อที่ผูกระเบิดติดไว้ เป็นการกดดันและบังคับอีกชั้นหนึ่งให้คุณลุงทำภารกิจให้สำเร็จอีกด้วย

เหตุการณ์นี้หากมีการระเบิดเกิดขึ้นจริง จะก่อความสูญเสียอย่างมหาศาล เพราะจุดที่คนร้ายบังคับให้คุณลุงขับรถไปจอด อยู่ใกล้ปั๊มน้ำมัน และบริษัทโตโยต้า พิธานพาณิชย์ยะลา ภาพที่คาดว่าจะออกมาหากเกิดระเบิด คือคนขับสวมเสื้อระเบิด คล้ายเป็น "ระเบิดพลีชีพ" เท่ากับเป็นการยกระดับความรุนแรงของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เทียบเท่าก่อการ ร้ายสากล

เคราะห์ดีที่เหตุการณ์ไม่ได้บานปลายถึงเพียงนั้น แต่ก็ยังมีประเด็นข้อสงสัยจากฝ่ายต่างๆ จากหลายวงสนทนา พอสรุปได้ดังนี้

1.วิธีการของคนร้ายที่ก่อเหตุ โดยการปล้นรถแล้วจับตัวประกันบังคับให้ขับรถของตัวเองบรรทุกระเบิดเข้าไปจอด ในตัวเมือง เป็นวิธีการใหม่ที่ไม่เคยใช้มาก่อน ที่ผ่านมามีแต่คนร้ายฆ่าเจ้าทรัพย์ แล้วชิงรถไปติดตั้งระเบิด ก่อนนำไปจุดระเบิดตรงบริเวณที่เป็นเป้าหมายทันที เห็นได้จากเหตุ "คาร์บอมบ์" ล่าสุดใน อ.เมืองปัตตานี หน้าฐานของตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ เมื่อ 27 ก.พ.ที่ผ่านมา ก็เป็นการฆ่าเจ้าทรัพย์ ชิงรถ ติดตั้งระเบิด แล้วโจมตี

คำถามคือเหตุใดคนร้ายจึงเลือกใช้วิธีการที่ซับซ้อนและมีโอกาสผิดพลาดได้ง่าย หากหวังผลให้เกิดการระเบิดเพื่อสร้างความสูญเสียในเขตเมืองและย่านเศรษฐกิจ

2.ความโหดเหี้ยมในการก่อเหตุของคนร้ายดูจะลดน้อยลงกว่าที่ผ่านๆ มา โดยเฉพาะหากเป็นกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ อ.บันนังสตา และ อ.กรงปินัง ซึ่งมีประวัติการก่อเหตุอย่างเหี้ยมโหด เพราะคุณป้าที่ตกเป็นตัวประกันก็ปลอดภัย แม้คุณลุงจะทำการไม่สำเร็จ คือไม่เกิดการระเบิดขึ้นก็ตาม

3.คนร้ายบางส่วนหรือทั้งหมด ไม่ได้ปกปิดหน้าตา การปล่อยตัวประกันทำให้นำไปสู่การออกภาพสเก็ตช์และติดตามตัวคนร้ายได้ง่าย ซึ่งล่าสุดก็มีข่าวตำรวจเริ่มจับกุมผู้ต้องสงสัยแล้ว

4.การวางระเบิดของคนร้าย จากข้อมูลของเจ้าหน้าที่ระบุว่า ระเบิดถังแก๊สทั้ง 2 ถังประกอบวงจรระเบิดไว้สมบูรณ์แล้ว และมีวงจรจุดระเบิดซ้อนมากกว่า 1 วงจร แต่หลังจากที่คนร้ายบังคับให้คุณลุงขับรถผ่านด่านตรวจเข้ามาในพื้นที่เขต เมืองได้แล้ว มีบางช่วงที่คุณลุงขับรถหลุดพ้นจากการควบคุมของคนร้าย เหตุใดคนร้ายจึงไม่จุดระเบิดทันที

5.กรณีเสื้อผูกระเบิดที่คนร้ายบังคับให้คุณลุงสวมใส่เพื่อข่มขู่ให้ขับรถ บรรทุกระเบิดไปจอดยังเป้าหมาย โดยข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ระบุว่าคนร้ายต่อวงจรเอาไว้แล้ว เหตุใดคุณลุงจึงสามารถใช้กรรไกรตัดเสื้อระหว่างขับรถแล้วโยนทิ้งไปได้โดยไม่ ระเบิด แต่กลับมีข่าวว่าเสื้อดังกล่าวระเบิดขึ้นระหว่างที่เจ้าหน้าที่เข้าทำการ เก็บกู้

6.เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นเหตุการณ์ใหญ่ และรูปแบบการก่อเหตุไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เหตุใดจึงมีแต่เพียงฝ่ายตำรวจและฝ่ายปกครองเท่านั้นที่มีข้อมูลและให้ข่าว กับสื่อ แต่ไม่ปรากฏข้อมูลในรายงานเหตุการณ์ของหน่วยงานทางทหาร

7.ระเบิดแสวงเครื่องที่คนร้ายประกอบใส่ถังแก๊ส 2 ถังบรรทุกมาในรถ ยังมีข้อมูลสับสนว่าขับผ่านด่านตรวจของเจ้าหน้าที่เข้ามาหรือไม่ เพราะข้อมูลบางแหล่งระบุว่าขับผ่านด่านตรวจตามปกติ แต่บางแหล่งระบุว่าขับลัดเลาะหลบด่านทุกด้านจนเข้าเมืองได้

นอกจากนั้นข้อมูลที่รายงานผ่านสื่อบางแขนงอ้างว่าคุณลุงถูกคนร้ายใช้ถุงดำ คลุมศีรษะเกือบตลอดทาง แต่บางสื่อกลับอ้างว่าคุณลุงรู้เส้นทางขับรถของคนร้ายว่าหลบด่านเข้าเมือง ได้อย่างไร ถึงขนาดพาเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองย้อนดูเส้นทางลัดเลาะหลบด่าน ในลักษณะย้อนรอยคนร้ายด้วย

สมมติฐานใครคือผู้สร้างสถานการณ์


ทั้งสองเหตุการณ์ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีฝ่ายรัฐบาล ทรราช คสช. หรือต้องการสร้างภาพใน สถาณ๋การเลวร้าย ในแง่ลบ ตั้งประเด็นว่าเป็นการ "จัดฉาก" เพื่อหวังงบประมาณหรือด้วยเหตุผลของการต้องการ ฆ่าพี่้องมุสลิม

ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญหลายหน่วยยืนยันตรงกันว่า เป็นไปได้น้อยมากที่เหตุการณ์ระดับนี้ ใช้คนมากขนาดนี้ จะกระทำโดย "โจรใต้" เพราะปัจจุบันมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงหลายหน่วย หลายสี ปฏิบัติงานในพื้นที่จำนวนมาก มีการตรวจสอบซึ่งกันและกันค่อนข้างสูง และสิ่งที่โจรใต้ ไม่เคยพลาด จากการวางระเบิดมานัดครั้งไม่ถ้วนนั้น หากนำมาประกอยวิธีการวาง จะแตกต่างจาก เหตุการณ์ ระเบิด 160โล ครั้งนี้อย่างเห็นได้ชัด แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นฝีมือของรัฐบาล ทรราช คสช.

ฉะนั้นการสร้างสถานการณ์โดยหน่วยใดหรือกลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจึงเป็นเรื่องไม่ยาก ที่จะคาดเดา

เหตุการณ์ ทั้ง 2 ครั้งนี้ จุดประสงค์เพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่ งบประมาณและการคงอยู่ของกองกำลังทหารกว่า 5 หมื่นนาย ที่จะได้เบี้ยและอายุราชการทวีคูณอีกทั้งสวัสดิการต่างๆ อีกมากมาย บนคลาดน้ำตาและกองเลือดของพี่น้องประชาชน สืบต่อไป

สิ่งที่เห็น อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น!

ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก อิศรา


เสรีชน

สงกรานต์นี้ ขอเขียนจดหมายเปิดผนึก ถึง ตือโป๊ยก่าย ประวิทย์ พี่ใหญ่แห่งบูรพาสุนัข สักหน่อย

ในวาระ สงกรานต์นี้ ขอเขียนจดหมายเปิดผนึก ถึง ตือโป๊ยก่าย ประวิทย์ วงษ์สุวรรณ. พี่ใหญ่แห่งบูรพาสุนัข
-
อีป้อม....ครับ  ก่อนอื่นขอแสดงความติดเห็น กับชีวิตและหน้าที่การงานของนางประวิทย์  ที่ประสบความสำเร็จ  ลาภ ยศ สรรเสริญ รวมทั้งบรรดาศักดิ์ ที่ได้มีจาก กองเลือดและคราบน้ำตาของประชาชน  ทั้งในปี ตั้งแต่ปี 2549 ถึงปัจุบัน 
-
ความชั่วระยำ เหล่านี้อีป้อม ล้วนผ่านมาแล้วทั้งสิ้น    แม้จะทำให้คนไทยอีกหลายสิบล้านคน ต้องทุกข์ทน และ ไม่เคยมีวาสนาได้สัมผัสสิ่งเหล่านั้นแม้เสี้ยวปลายนิ้วก้อยจากที่อีป้อมได้รับ    
-
เปล่าหรอก....ผมไม่ได้กำลังขอร้องขอ  ให้อีป้อมแบ่งปันสิ่งเหล่านั้นที่ได้รับ   แต่อยากจะเอาเท้าสะกิดหัวของนาง ในฐานะปราชาชนคนไทยที่เป็นพุทธศาสนิกชนด้วยกัน   สรรพสิ่งล้วนอนิจจัง....ยิ่งขวานขวายมากก็ยิ่งสูญเสียมาก 

-
ในฐานะที่อีป้อม  พี่ใหญ่แห่งบูรพาสุนัข     ผมไม่เชื่อว่าอีป้อมจะไม่รู้เห็นอะไรต่อมิอะไรที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง   ยิ่งในขณะนี้!!   ขณะที่ทหารเอารถถัง เอาสรรพอาวุธสงครามมาbase ไว้ที่กรุงเทพฯ     อีป้อมอาจจะปฏิเสธว่าเป็นทหารที่เกษียณไปแล้วไม่รู้. หรืออีป้อมออกมาปัด ในการสลายการชุมนุม เมื่อครั้งปี 2553 ที่ผ่านมา โดยกล่าวว่า แค่เป็นพยาน ในการสั่งฆ่าประชาชน ในครั้งนั้น เท่านั้น ....ฟังเผินๆ อาจจะน่าเชื่อถือนะครับ    แต่พฤติกรรมที่ผ่านๆ มาของอีป้อม กลับมองว่ายังไม่เกษียณเลย

-
อีเปรม แห่งบ้านสี่เสา ถือว่าเป็น "ทหารเกษียณ" ผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งในประเทศไทยภายใต้การปกครองระบอบอำมาตยธิปไตย    ในสายตาของผมและเชื่ออีกว่าในสายตานักประชาธิปไตยอีกหลายๆ ล้านคนมองว่านั่นไม่ถูกต้องนัก   เพราะสถานะของอีเปรม กลับถูกยกย่องจากคนทั่วไปโดยเฉพาะทหารและจากสื่อทีมงานของอีเปรมเองจนเกินเลย  แม้ช่วงวันเปิดบ้านของอีเปรม  ไอ้ตูบ ถึงขนาดฟ้องอีเปรมว่า สื่อไม่ช่วย 
-

นั้นเป็นข้อสังเกตุให้เห็นว่า อีเปรมไม่ใช่คุมแค่กำลังทหาร หรือแค่ธนาคารเท่านั้น แม้กระทั้งสื่อ อีเปรมก็คุมด้วย  
-
อีป้อม  .....เองคงจะทราบและรู้ดีว่า อีเปรม นั่นคือที่มาที่ไปของคำว่า "ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ"  และเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง รัฐประหารทุกครั้ง 

-
ก่อนหน้านั้นโผทหารโดยเฉพาะตำแหน่ง "ผบ ทบ."  ก่อนจะส่งขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย  ต้องผ่านมืออีเปรมก่อนทุกครั้ง  (ซึ่งถือว่าไม่จำเป็นต้องผ่านมือ  หาเช่นนั้นพรบ. พรก. หรืออะไรต่อมิอะไรที่ต้องส่งขึ้นทูลเกล้าฯ ก็ต้องผ่านอีเปรมทั้งหมด)    
-


ก็ต่อเมื่อครั้งดร.ทักษิณดำรงตำแหน่งนายก ก็ได้ทำลาย "ธรรมเนียมเลว" คือการไม่ส่งโผทหารผ่านมืออีเปรมลงไป  และเขาเป็นผู้นำขึ้นทูลเกล้าฯ โดยตรงในฐานะนายกรัฐมนตรีเอง  การแต่งตั้งเหล่าทหารชั้นผู้ใหญ่จึงเป็นไปตามกฏตามกติกา    นายทหารที่ได้รับอานิสงส์โดยตรงจากตรงนี้ก็คือ (อีป้อมประวิทย์) ด้วย   หรือมึงจะปฏิเสธ.............???  
-

หากวันนั้น  ดร. ทักษิญ ยังคงธรรมเนียมเก่า เอารายชื่อให้ อีเปรม.......... ผมถามตรงๆ นะครับว่า อีป้อม  มึงจะมีวันนี้ไหม
-
หากแต่........ วันนี้ อีป้อมทำไมมึงกลับจ้องทำลาย ตระกลูชินวัตร และ ประชาชนด้วยเหตุอันใด  ทั้งๆที่ มึงก็ได้รับ อนิสงค์จาก ระบอบ ประชาธิปไตย มึงนี้ ยิ่งกว่าสุนัขตัวเมียที่เลี้ยงไม่เชื่องเสียอีก 

-
เอาล่ะ เมื่ออีป้อม เป็นเช่นนี้  ก็ขอคิดและคาดเดาต่อไปเอาไว้เลยว่า 

-
เมื่อไหร่ที่ อีเปรมได้สิ้นอายุขัย หรือตายห่าตายโหงจากพิษ ส้นตีนของประชาชน ลงไป   ศูนย์รวมอำนาจนอกระบบและเหนือรัฐธรรมนูญก็คงจะค่อยๆ สลายไปด้วย     และที่สำคัญ    ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าประเทศไทยจะได้หลุดจากวงจรแห่งการกุมอำนาจแบบประหลาดๆ ในสังคมไทยเสียที     บ้านเมืองจะเดินได้ไปข้างหน้าไม่ตะกุกตะกักเหมือนที่ผ่านๆ มา 
-
หรือว่าอีป้อม มึงจะเห็นด้วยไหม กับกู หรือว่า มึงจะคิดสวมบท อีเปรม 2 

-
อีป้อมเอย.........อย่าคิดวัดรอยเท้าอีเปรมเลย ...วางตัวเป็นทหารเกษียณทิ้งตัวอย่างที่เป็นทหารเลว ๆ อย่าให้น้องๆ เดินตามรอยมึงอีกเลย พอทีเถอะ

-  

รอยเท้าของมึงนะ อีป้อม ไม่ว่ามึงจะเลี้ยงทหารนอกแถวไว้มากมายก็ตาม  แต่กูเชื่อว่า  ด้วยระบบประชาชธิปไตยในอนาคตในใกล้นี้  ซึ่งแน่นอนอไม่ได้มาจาก ทรราช คสช. อย่างแน่นอน 
-
ทหารชั่ว และ ทรราช คสช.ทั้งหลาย จะต้องถูกดำเนิคดี ฆ่าล้างเผ่าพันธ์กับศาลโลก และกูก็เชื่อต่ออีกว่าทหารหลายรุ่นหลายเหล่าจะไม่เดินตามรอยเท้ามึง.............  อีป้อม 
-


เพราะอะไร  ก็เพราะประเทศฉิบหายวายวอดไปกว่า 5 ล้านๆ บาท ในช่วงเวลาตั้งแต่ทรราช คสช. ทำรัฐประหารมานั้นเป็นสิ่งที่ยืนยันอย่างชัดแจ้งว่า

-
และประชาชนตายไปมากกว่าหมื่นด้วยน้ำมือของ ทหารทั้งสิ้น 

นั้นจึงเป้นที่มา ขอคำว่า   ทหารไทยมีไว้ทำไม
-

กูไม่ต้องทหารชั่วๆ อย่างพวกมึงอีกแล้ว  ------------พอกันที

-
เสรีชน


สมองมึงคิดได้แค่นี้หรือ " ไอ้ตูบ " ทรราช ประยุทธ์ จันทรโอชา

'ไอ้ตูบ'แนะครม.อ่านหนังสือ'การปกครองประเทศจีน'  และแต่งตัวเหมือนเกาหลี ลั่น  สอดคล้องประเทศไทย

-
"ไอ้ตูบ" แนะ ครม.อ่านหนังสือ The Governance of China เขียนโดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน เล่าเรื่องการบริหารงาน ที่มีแนวทางสอดคล้องกันกับประเทศไทย ระยะปฏิรูป

-
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 12 เมษายน ที่ทำเนียบรัฐบาล นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทรราช ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. แนะนำหนังสือ The Governance of China ให้ ครม.อ่าน ซึ่งเป็นหนังสือที่เขียนโดยผู้นำจีน บอกเล่าเรื่องการบริหารงานที่มีแนวทางสอดคล้องกันกับประเทศไทย เพราะอยู่ในระยะเวลาแห่งการปฏิรูปเช่นเดียวกัน 

-
และเมื่อวานนี้ 

-
 "ไอ้ตูบ"  ตัวเดิม ประชุมครม.โจร  เปรียบผู้หญิงแต่งตัวต้องดั่งทอฟฟี่ แกะก่อนขายไม่ได้สนใจ ต้องห่อมิดชิด

-
 "ไอ้ตูบ" เห่าว่า สงกรานต์ที่มีความสุข เพราะจะเป็นปีที่เรามีความสุขที่สุด เพราะกว่า 10 ปีแล้วที่ประเทศไทยไม่มีความสุขที่แท้จริง เพราะฉะนั้นอยู่ที่พวกเราทุกคนที่จะช่วยกันทำ ไม่ใช่ตนคนเดียว อย่างดาราที่มาวันนี้เขาก็ไม่แต่งตัวโป๊ เราต้องแต่งตัวให้ดูดี แต่งชุดไทยบ้างก็สวยดี สำหรับการแสดงก็ว่ากันไป คนที่ดูก็ชินแล้ว มันต้องเป็นแบบนี้คนถึงจะดู แต่ความจริงทุกคนรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นวัฒนธรรมไทย ไปเปิดดูเกาหลีทำไมเขาไม่แต่งโป๊ ก็ถือว่าแปลกนะ บางครั้งเขาแทบไม่จูบกันเลย

-
 "ไอ้ตูบ"  เห่าต่อตนบอกแล้วว่าผู้หญิงเปรียบเสมือนทอฟฟี่หรือขนมหวานที่ต้องมีห่อ หากเราเอาขนมมาขายแล้วเปิดห่อทั้งหมดก็คงไม่มีใครอยากกิน มันต้องอยู่ในห่อแล้วจะน่าสนใจ พอเห็นแล้วน่ากินจึงค่อยเปิดดู ส่วนที่เปิดหมดแล้วมันก็ไม่น่าสนใจ ส่วนคนที่ไม่เปิดก็โชคดีไป 

-
สมองมึงคิดได้แค่นี้ งั้นหรือ  "ไอ้ตูบ"

-
ทหารอย่างพวกมึงก็คิดจะปกครอง ด้วยอำนาจจากปากกระบอกปืนก้เท่านั้น  อ้างศักศรี ความเผ็นลูกผู้ชายตลอดเวลา แม้กระทั้งยิงคน มือเปล่า แบบไม่มีทางสู้ อย่างกรณี ราชประสงค์ปี 53  

-
นี้หรือวิธีคิดของ  "ไอ้ตูบ"  กูว่ามึงยิ่งกว่าหน้าตัวเมีย ควรไปหาผ้าถุงใส่จะเหมาะกว่าเครื่องแบบทหาร 

-
ส่วนเรื่อง เปรียบผู้หญิงเป็น ทอฟฟี่  นั้นยิ่งแสดงให้เห็นว่า  สมองมึงมองเพศแม่อย่างไร  คิดแต่แค่ ซื้อขาย มองเพศแม่เหมือนขนมหวาน 

-
ถุย.............. "ไอ้ตูบ" ประยุทธ์ จันทรโอชา  

-
เสรีชน