Saturday, October 24, 2015

ดร.เพียงดิน ชวนคิดชวนลุย 24 ต.ค. 25558 ตอน แผนร้าย เบื้องหลังการกวาดล้าง แก็งค์หมอหยอง!!

ดร.เพียงดิน ชวนคิดชวนลุย 24 ต.ค. 25558 ตอน แผนร้าย เบื้องหลังการกวาดล้าง แก็งค์หมอหยอง!! 

_____________

 มารวมพลังสานแรงเพื่อหนุนขบวนนำเจรจากับนานาชาติกันครับ

หากท่านคิดดี หวังดี และมั่นใจในความดีของท่าน ขอให้ปาวารณาตัว ร่วมเป็นมดแดงล้มช้าง ได้ที่
เพื่อร่วมเป็นฐานของการปฏิวัติในอนาคตอันใกล้นี้ และเริ่มต้นทำงานในฐานะมดแดงล้มช้างทันที (ข้อมูลทุกอย่าง เป็นความลับสุดยอด ดร.เพียงดิน รักไทย จะดูแลเองแต่ผู้เดียว และอย่าได้ติดตามลิ้งค์อื่นใด นอกจากลิ้งค์นี้จากเฟสบุ๊คของดร.เพียงดิน และลิ้งค์ที่อยู่ใต้ยูทูปวิดีโอของ มหาวิทยาลัยประชาชน Official เท่านั้น)

Friday, October 23, 2015

"ศุภวุฒิ" ชี้ดัชนีเศรษฐกิจช็อกโลก ซัพพลายล้น-หนี้ท่วม-ดีมานด์หด !! มติชนออนไลน์

"ศุภวุฒิ" ชี้ดัชนีเศรษฐกิจช็อกโลก ซัพพลายล้น-หนี้ท่วม-ดีมานด์หด !!



Full CREDIT: http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1445586998


 วันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 03:25:14 น.




สัมภาษณ์พิเศษ/ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

 

 

 

มาตรการพยุงเศรษฐกิจของรัฐบาลกำลังออกฤทธิ์ ขณะที่ "ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" รองนายกรัฐมนตรี ระบุชัดว่า มาตรการเหล่านี้มีเป้าหมาย "ประคับประคอง"เศรษฐกิจ มิใช่การทำให้เศรษฐกิจก้าวกระโดดขึ้นทันทีทันใด ส่วนหลังจากนี้จะเดินหน้าสู่การปฏิรูปเศรษฐกิจในระยะกลาง "ประชาชาติธุรกิจ" สัมภาษณ์ "ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ" กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) นักเศรษฐศาสตร์ผู้วิเคราะห์เศรษฐกิจด้วยแว่นที่แตกต่าง และมักจะออกโรงชี้ประเด็นที่ยังไม่มีใครเอ่ยถึง

ลุ้นมาตรการรัฐหนุน ศก.ฟื้น

จากคำถามที่ว่าขณะนี้เศรษฐกิจไทยถึงจุดต่ำสุดแล้วหรือยัง "ดร.ศุภวุฒิ" ประเมินเศรษฐกิจไทยว่า สามารถมองได้ 2 ด้าน ด้านหนึ่ง ถ้ามองฝั่งรัฐบาล เศรษฐกิจไทยขณะนี้ได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว เพราะได้ใช้นโยบายกระตุ้นในทุก ๆ ด้านออกมามากแล้ว น่าจะช่วยหยุดการชะลอตัวของเศรษฐกิจได้ อีกทั้งหลังจากนี้จะมีนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจต่อเนื่อง เมื่อมองในแง่บวกจากนี้แรงกระตุ้นจะทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวก็น่าจะมี 

"คนที่มองในแง่บวกจะให้น้ำหนักกับปัจจัยภายในประเทศ เพราะรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นออกมาทุกสัปดาห์ 4 สัปดาห์ติดต่อกันแล้ว และยังสัญญาว่าปี 2559 จะเร่งใช้จ่ายภาครัฐ โดยเฉพาะที่กระทรวงคมนาคมบอกว่า มีโครงการที่อยู่ในลำดับสำคัญ 20 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1.6 ล้านล้านบาท ซึ่งในมุมมองผมทำได้ 2 ใน 3 ก็สร้างความมั่นใจได้ว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนออกมา"



แต่อีกด้านหนึ่ง เมื่อดูปัจจัยภายนอกยังเห็นว่า เศรษฐกิจโลกยังไม่เอื้อ ยิ่งเมื่อดูการวิเคราะห์จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ซึ่งประเมินภาพเศรษฐกิจโลก ปี 2558 เติบโต 3.1% ปี 2559 เติบโต 3.6% ทั้งระบุว่ามีแนวโน้ม 50% ที่ปีหน้าเศรษฐกิจโลกจะโต 3% หรือต่ำกว่า เพราะปัญหาหนี้ของเอกชนในประเทศตลาดเกิดใหม่ ซึ่งกู้ยืมเงินมาเยอะมาก

"ตอนนี้หนี้เพิ่มขึ้นไปถึงคอหอยแล้ว จากเดิมเมื่อ 10 ปีที่แล้วบริษัทในประเทศตลาดเกิดใหม่มีหนี้สินรวมประมาณ 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ปลายปี 2557 เพิ่มขึ้นเป็น 18 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สิ่งนี้ทำให้น่าเป็นห่วง ซึ่งนักวิเคราะห์ก็โฟกัสไปที่บริษัทในจีนและประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย ซึ่งไอเอ็มเอฟระบุชัดว่าให้ระมัดระวังผลกระทบจากการล้มละลายของบริษัทเหล่านี้ ที่จะส่งผลกระเทือนถึงเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ได้" 

ระวังซัพพลายล้นโลก-ธุรกิจล้มละลาย

"ดร.ศุภวุฒิ" ยอมรับว่า คำเตือนของไอเอ็มเอฟอาจทำให้บางคนเชื่อ บางคนก็ไม่เชื่อ โดยเฉพาะในเวลานี้ที่ตลาดคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะไม่ขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้ มีผลให้ตลาดหุ้นในประเทศตลาดเกิดใหม่ไต่ขึ้น แต่หากวิเคราะห์ให้ลึกก็มองเห็นสอดคล้องกับไอเอ็มเอฟว่า สิ่งที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญ คือ กำลังการผลิตในโลกที่ล้นเกินความต้องการ

เนื่องจากหลังวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐเมื่อปี 2551 หลายประเทศใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายใช้ประโยชน์จากดอกเบี้ยต่ำ ให้บริษัทต่าง ๆ กู้เงินไปขยายกิจการจนมีกำลังผลิตสูงมากทั่วโลก วันนี้บริษัทต่าง ๆ มีกำลังผลิตเยอะ มีหนี้เยอะ แต่ไม่รู้จะขายใคร จึงเกิดอุปทาน (ซัพพลาย) ส่วนเกิน ซึ่งตามกลไกตลาดการแก้ปัญหาอุปทานส่วนเกิน คือ ต้องยอมให้บริษัทที่อ่อนแอล้มละลายเพื่อลดกำลังการผลิต แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตราบใดที่ดอกเบี้ยยังต่ำ ทุกคนก็จะพยายามอุ้มบริษัทในประเทศของตัวเองไว้ ไม่มีใครลดกำลังการผลิต แล้วถ้าวันหนึ่งดอกเบี้ยสหรัฐขึ้น ดอกเบี้ยโลกขึ้นจะเป็นอย่างไร 

"กำลังการผลิตเกินความต้องการนี้เป็นกันทั้งโลก เมื่อมองไปข้างหน้าถ้ายังไม่มีใครยอมลดกำลังการผลิต คนที่อ่อนแอก็ต้องล้มไปก่อน ยิ่งประชากรโลกแก่ตัวลงเรื่อย ๆ กำลังซื้อก็ยิ่งไม่มีเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจโลกก็มีโอกาสซึมยาว จึงมีความเสี่ยงที่ปีหน้าจะมีอาการช็อกจากภายนอกเข้ามาอย่างที่คาดไม่ถึง"

พร้อมกันนี้ "ดร.ศุภวุฒิ" ยกตัวอย่างจีนที่พยายามยื้อเศรษฐกิจให้โตว่าเป็นการยื้อแบบให้ประชาชนสร้างหนี้เพิ่ม ซึ่งในเดือน ก.ย.ที่ผ่านมามีตัวเลขสินเชื่อใหม่ทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ เพราะช่วงที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัวรัฐบาลอัดเงินให้คนสร้างหนี้เพิ่ม ซึ่งไม่ได้แก้ปัญหาระยะยาว แต่ยันสถานการณ์ในระยะสั้นเท่านั้น ถ้าหนี้โตขึ้นเรื่อย ๆ แต่จีดีพีโตช้าลงเรื่อย ๆ วันหนึ่งก็ต้องทำให้หนี้หยุดโต ต้องลดหนี้ ถึงเวลานั้นจีดีพีจะโตจากอะไร เมื่อที่ผ่านมาพึ่งพาการสร้างหนี้เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโต

กะเทาะนโยบายลดพึ่งพิงส่งออก

นอกจากนี้เขาได้วิเคราะห์แนวคิดการปฏิรูปเศรษฐกิจไทยระยะกลางของรัฐบาลว่าหากประเทศไทยจะลดพึ่งพาการส่งออกหันมาพึ่งตลาดภายในประเทศทั้งที่ส่งออกมีสัดส่วนสูงถึง 55% ของจีดีพี และถ้ารวมกับการท่องเที่ยวซึ่งเป็นการส่งออกภาคบริการก็จะใกล้ ๆ 70% ของจีดีพี หากลดบทบาทส่งออกก็ต้องพึ่งตลาดภายในประเทศจากการบริโภคภาคเอกชนที่มีสัดส่วน 50% ของจีดีพี แต่การพึ่งการบริโภคในประเทศให้เติบโตในยุคนี้ก็มีอุปสรรคตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เคยบอก คือ หนี้ครัวเรือนของไทยเยอะมาก ดังนั้น จะให้บริโภคเพิ่มได้อย่างไร 

และล่าสุดรัฐบาลเพิ่งออกมาตรการให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ปล่อยกู้คนรายได้ไม่เกิน 3 หมื่นบาท ซื้อบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท และให้เป็นหนี้ผูกพันนานถึง 30 ปี คำถามคือแล้วคนจะเหลือเงินไปซื้ออะไรได้อีก เมื่อคนเหล่านี้คือกลุ่มที่ธนาคารพาณิชย์ปฏิเสธการให้สินเชื่อ เพราะประเมินแล้วว่าไม่พร้อมจะผ่อนชำระหนี้ก้อนนี้ ถ้าปล่อยกู้ไปก็อาจไม่มีเงินเหลือพอจะบริโภคอย่างอื่นได้ 

เมื่อการบริโภคยังติดบ่วงหนี้ครัวเรือน ดังนั้น แนวทางปฏิรูปเศรษฐกิจจากการพึ่งพาตลาดในประเทศ อีกองค์ประกอบที่พอจะเดินหน้าไปได้คือปลุกการลงทุนภาคเอกชน แม้ขณะนี้กำลังการผลิตของภาคเอกชนยังเหลืออีกเยอะและยังไม่แน่ใจจะลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตไปขายของให้ใคร แต่รัฐบาลก็ได้พยายามแก้โจทย์นี้ด้วยการประกาศให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งต่างๆผ่านการร่วมลงทุนรัฐ-เอกชน(PPP) หรือการประกาศระดมทุนด้วยการทำกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อต้อนให้เอกชนเข้ามาในโครงการก่อสร้าง เช่น รถไฟฟ้าสีต่าง ๆ รถไฟทางคู่ มอเตอร์เวย์ สุวรรณภูมิเฟส 2 เป็นต้น

"เหล่านี้เป็นสิ่งที่ดี แต่ก็มีคำถามว่าจะกระจายความเจริญไปต่างจังหวัดจะทำอย่างไร เมื่อโครงการที่น่าจะทำได้เร็วที่สุดเป็นโครงการที่กระจุกในกรุงเทพฯ" 

หวังส่งออกปี59 ฟื้นตัวโต 3%

อย่างรก็ตาม บล.ภัทรประเมินว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ไทยปีนี้จะเติบโต 2.5% ส่วนปีหน้าโต 3.5% การส่งออกปีนี้ติดลบ 4.5% ปี 2559 พลิกเป็นบวก 3% ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินส่งออกปีหน้าโตแค่ 1.2% จากปีนี้ติดลบ 5% 

ดร.ศุภวุฒิกล่าวว่า แปลกที่ ธปท.ประเมินส่งออกต่ำกว่า บล.ภัทรเพราะ ธปท.ห่วงเศรษฐกิจจีน ขณะที่ในมุมมอง บล.ภัทรแม้จะประเมินตัวเลขส่งออกผิดมา 3 ปีซ้อน แต่ก็มีความหวังว่าปีหน้าส่งออกควรจะเป็นบวก ควรจะฟื้นแม้จะยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดนัก ยกเว้นแต่ว่าประเทศไทยได้สูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกไปแล้ว ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ยืนยันว่า ไทยไม่ได้สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน เพราะมาร์เก็ตแชร์ไม่ได้ลดลง แต่ก็น่าสังเกตและน่ากลัวว่า ถ้ามาร์เก็ตแชร์ไม่ลดทำไมไทยขายของได้น้อยลงติดต่อกัน 3 ปี สะท้อนว่าดีมานด์ของโลกไหลลงใช่ไหม 

แล้วประเทศไทยจะดำเนินนโยบายเศรษฐกิจอย่างไร ในเวลาที่โลกมีอุปทานส่วนเกิน ขณะที่อุปสงค์ลดลง และหนี้ท่วมจนอาจทำให้มีบริษัทที่อ่อนแอล้มได้


 




ติดตามข่าวสาร ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
www.facebook.com/PrachachatOnline
ทวิตเตอร์ @prachachat

ข้อสังเกตุเรื่อง มุสลิม จะยึดครองประเทศไทย

มีคนตั้งข้อสังเกตุเรื่อง มุสลิม จะยึดครองประเทศไทย

ยังจำวันที่คมช.รัฐประหาร เมื่อ ๑๙ ก.ย. ๔๙ ได้ดี ยึดอำนาจวันนั้นแล้วตอนบ่ายก็มีประกาศออกมาเลยเรื่อง
สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตั้งโดย คมช. ออกประกาศแต่งตั้งคณะกรรมาธิการศาสนาจำนวน ๑๑ คน
เห็นแล้วนึกว่าอยู่ในประเทศมุสลิม แต่งตั้งมาได้ยังไง

๑. ศ.กรีติ บุญเจือ คริสต์
๒. นายวรเดช อมรวรพิพัฒน์ พุทธ
๓. นายเสถียรพงษ์ วรรณปก พุทธ
๔. นายวินัย สะมะอุน อิสลาม
๕. นายแวดือ รมแม มะมิงจิ อิสลาม
๖. นายดำรง สุมาลยศักดิ์ อิสลาม
๗. นายแวฮาดี แวดาโอะ อิสลาม
๘. นายอับดุลเราะแม เจะแซ อิสลาม
๙. นายอับดุล รอซัค อาลี อิสลาม
๑๐.นายอิสมาเอล อารี อิสลาม
๑๑.นายอิสมา ลลุตปี จะปากียา อิสลาม

กลุ่มแฮกเกอร์ชื่อ "นิรนาม" ผลงานดังระดับโลก "Anonymous" ได้ประกาศแถลงการณ์ต่อต้านการทำ Single Gateway รวมถึงประณามการกระทำของ คสช. ในช่วงที่ผ่านมา

หยุดดัดจริตประเทศไทย's photo.

กลุ่มแฮกเกอร์ชื่อ "นิรนาม" ผลงานดังระดับโลก "Anonymous"
ได้ประกาศแถลงการณ์ต่อต้านการทำ Single Gateway
รวมถึงประณามการกระทำของ คสช. ในช่วงที่ผ่านมา

====================================

สวัสดีประชาชนชาวโลก เราคือ anonymous (นิรนาม)

รัฐบาลไทย, เราได้รับรู้ความเคลื่อนไหวของพวกคุณที่ตัดสินใจละเมิดเพิกเฉยประชาชนของคุณ พลเมืองของประเทศคุณ และดื้อด้านยืนกรานในการสร้าง Gatewaysที่จะสร้างระบบเอื้อประโยชน์เฉพาะตัวคุณ และเครือข่ายพรรคพวกของคุณเท่านั้น

เราได้เห็นสถานการณ์ที่เลยเถิดในประเทศไทยนานนับเดือน
เราได้เห็นการจำกัดเสรีภาพในการพูดซึ่งเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐาน สิทธิในการประท้วง และการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของใครก็ตามที่วิพากษ์วิจารณ์ คสช.

โครงการล่าสุดของรัฐบาลทหารไทยคือการจัดตั้ง Single Gateway เพื่อที่จะควบคุม ยับยั้ง และจับกุมใครก็ตามที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งของ คสช. หรือสิ่งที่ คสช นิยามมันว่า "ศีลธรรมอันดี"

ไม่มีระบบตรวจจับอะไรหยุดการก่อการร้ายได้ ไม่ว่าภัยคุกคามนั้นจะมาจากเอเชียหรือประเทศตะวันตก Singel Gatewayก็แค่ทำให้รัฐบาลที่ละโมบและเครือข่ายของพวกเค้าได้กอบโกยมากขึ้น และเอื้อให้จำกัดเสรีภาพในการพูดของประชาชนในประเทศนี้

สยามเมืองยิ้ม ไม่นานก็จะเป็นเหมือน จีน เกาหลีเหนือ หรือประเทศที่มีทรราชเผด็จการปกครอง ที่ใช้ระบบอิเล็กทรอนิคในการสอดแนมและเล่นงานประชาชนของตนเองที่คิดต่างจาก รัฐบาล

มันเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ที่ คสช. แต่งตั้งคนของพวกเค้าที่เป็นนายทหาร มาควบคุมดูแลองค์กรสารสนเทศที่ใหญ่ที่สุด CAT Telecom หน่วยงานหรือบุคคลใดๆ ที่มีส่วนช่วยในการดำเนินการ Single Gateway นี้ จะตกเป็นเป้าโจมตีทางอิเล็กทรอนิคส์ในทุกๆทาง

เราจะไม่เพียงแต่ต่อสู้กับโครงการ Single Gateway แต่เราจะเปิดเผยความโสมมของพวกคุณรัฐบาลทหาร คสช. ให้โลกได้รับรู้ ทั้งเรื่องการคอรัปชั่น และผลประโยชน์ทับซ้อนต่างๆ

คนมากกว่า 6000 คนตาย และกว่า 10,000 คนบาดเจ็บในเหตุการณ์ความไม่สงบที่ชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย คุณไม่มีงบประมาณที่จะหยุดยั้งการก่อการร้ายนั้นที่พรากชีวิตคนบริสุทธิ์ แต่คุณกลับทุ่มงบประมาณ 15 ล้านดอลล่าห์เพื่อจะเซนเซอร์พลเมืองของคุณ พี่น้องชาวไทยจะเข้าใจว่าเราหมายถึง "ความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย"

พวกเราทั้งหลายจะร่วมกันต่อต้านความอยุติธรรมของรัฐบาล
วันข้างหน้ารัฐบาลจะต้องรับกรรมจากการที่คุณกดขี่ข่มเหงประชาชนของคุณเอง

คุณสามารถจับขังปรับทัศนคติเรา แต่คุณไม่อาจจับกุมความคิดเราได้

เราคือนิรนาม
เราคือทุกแห่งหน
รวมพลังกันเป็นหนึ่ง
ไม่อาจถูกแบ่งแยก
เราไม่ยกโทษให้กับการเซนเซอร์
เราไม่ลืมเลือนการกดขี่ข่มเหงของคุณ
จงหวาดกลัวเรา

นิรนาม

ที่มาของข่าว

Voice TV
https://www.facebook.com/VoiceTVonline/photos/a.131804224847.132218.131732549847/10154473444019848/?type=3

ที่มาของแถลงการณ์
http://pastebin.com/SL0ZaMxT
.
===================================

แอดมินได้เช็คที่ ทวิตเตอร์หลักของกลุ่มเค้าแล้ว...
สรุปว่ารอบนี้ "ของจริง" ว่ะครับ งานนี้มีเปิดสาขา เอเชีย แล้ว
ที่มาจากแอคเค้าหลักของกลุ่มนี้ เดียวอัพภาพให้
(https://twitter.com/YourAnonNews)

ผลงานเด่นดังของ กลุ่มนิรนามนี้ ก็ได้แก่การเล่นงาน Sony เละเทะ
หรือ Hack โปรแกรมดังๆเพื่อไปลบบัญชีคนที่สนับสนุนกลุ่ม ISIS เป็นต้น

ถ้าให้เปรียบเทียบพอเห็นภาพสภาพการรบทาง Cyber แล้วล่ะก็
เปรียบได้ว่า คสช. กำลังรบกับอเมริกาและรัซเซียทีเดียว "พร้อมกัน" ถ้ากลุ่มนี้เอาจริง แอดมินยังไม่เห็นทางชนะของ คสช. เลยแม้แต่นิดเดียว

ผลงานแรกคือการเจาระบบฐานข้อมูลลูกค้าของ Cat Telecom
https://www.blognone.com/node/73925

นี่แหละครับผลของการดึงดันของ คสช.
ที่ไม่ยอมยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี "จัดตั้งSingle Gateway"
ทุกความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ถือเป็นผลจากของ คสช.ทั้งสิ้น

หยุดดัดจริตประเทศไทย

Thursday, October 22, 2015

23 ตุลาคม “ วันปิยะมหาราช” (ไทยไม่เป็นเมืองขึ้น ) จริงหรือ? โดย อนันต์ ประพงษ์

อนันต์ ประพงษ

23 ตุลาคม " วันปิยะมหาราช"
(ไทยไม่เป็นเมืองขึ้น ) 
 

​อ.ฮาร์วาร์ดเข้าใจผิดไทยไม่เป็นเมืองขึ้น
ถ้าไม่อธิบายก็จะทำให้สถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยพินาศหายนะไปกันไป กันใหญ่และจะเป็นการสร้างทฤษฏีผิดๆกับการเมืองไทย จากข้อคิดเห็นของ ศาสตราจารย์ไมเคิล เฮิร์ซเฟลด์ อาจารย์คณะมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองและวัฒนธรรมในพื้นที่ต่างๆโดยเฉพาะประเทศไทย โดย ศ.ไมเคิล เฮิร์ซเฟลด์ มองว่า " ไทยเป็นประเทศที่อยู่ในกลุ่มอาณานิคมอำพรางในงานเสวนาหัวข้อ "Crypto-Colonialism" หรือ "อาณานิคมอำพราง" ซึ่ง มติชนออนไลน์ ในวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2558 ที่ผ่านมา
โดย ศ. ไมเคิล เฮิร์ซเฟลด์ ท่านนี้ได้เล่าถึงตอนหนึ่งว่า "แบบเรียนทางประวัติศาสตร์ของไทยสร้างการรับรู้ความเป็น "ชาติ" ผ่านแนวคิดต่างๆโดยมีวรรคสำคัญๆที่ระบุว่า "ไทยไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้น" ซึ่งแนวคิดนี้มักเป็นที่ถกเถียงกันเสมอ
ในมุมมองของศาสตราจารย์ไมเคิล เฮิร์ซเฟลด์ อาจารย์คณะมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองและวัฒนธรรมในพื้นที่ต่างๆรวมถึงไทยด้วย โดย อาจารย์มองว่า ไทยเป็นประเทศที่อยู่ในกลุ่มอาณานิคมอำพราง "
จากความเห็นโดยหลักๆดังกล่าวของ ศ. ไมเคิล เฮิร์ซเฟลด์ จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่มองว่าไทยเป็นเมืองขึ้นของประเทศล่าอาณานิคม แม้จะอธิบายว่าเป็น " อาณานิคมอำพลาง" (Crypto-Colonialism) ซึ่งก็คือ ประเทศอาณานิคมของประเทศล่าอาณานิคม
จะต้องเจ้าใจว่าการเป็นเมืองขึ้นของประเทศเจ้าอาณานิคม ประเทศ ประเทศที่เป็นเมืองขึ้นจะสูญเสียอำนาจการปกครองในทางการเมือง และไม่มีเอกราชทางการเมือง
ลักษณะของความเป็น " เอกราช" ในทางการเมืองเป็นหลักการชี้ว่าเป็นเมืองขึ้นหรือไม่ ไม่ใช่เอาหลักการทางเศรษฐกิจ , ทางวัฒนธรรม, ทางภาษา, ทางดินแดน มาเป็นเครื่องชี้วัดความเป็นเมืองขึ้น
เพราะฉะนั้น ประเทศไทยหลังการก่อ "ตั้งรัฐชาติ" ขึ้นมาในสมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. 2435 เป็นการเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ประเทศไทยไม่ได้เป็นเมืองขึ้นทางการเมืองกับประเทศล่าอาณานิคม โดยพิจารณาจากหลักการทางเอกราชในทางการเมือง
ซึ่งประเทศไทยเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและมีอิสระในทางการเมืองจาก ประเทศมหาอำนาจ ซึ่งในยุคปัจจุบันนี้ไม่มีประเทศล่าอาณานิคมและเจ้าอาณานิคมอีกแล้ว
ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศไทยยังเป็นอิสระแม้จะถูกชี้นำนำและ ครอบงำ แต่ก็เป็นการครอบงำทางความคิดแต่การตัดสินใจของเป็นของรัฐบาลไทยและการ ปกครองของประเทศไทย
การครอบงำและอิทธิพลของประเทศมหาอำนาจ ไม่ใช่เครื่องชี้วัดถึงความเป็นประเทศเมืองขึ้น
ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองทุกๆครั้งที่ผ่านมาหลัง พ.ศ. 2475 ก็เป็นลักษณะของความขัดแย้งในผู้ปกครองของประเทศไทยเองในทางการเมือง สาเหตุมาจากความเป็นเอกราชแต่อำนาจในทางการเมืองยังเป็นของคนชนชั้นส่วนน้อย
ลักษณะทางการเมืองของประเทศถูกครอบงำด้วยอำนาจอธิปไตยของคนส่วนน้อย ซึ่งเป็นลักษณะของการปกครองแบบเผด็จการ
ความเป็นระบอบเผด็จการทำให้องค์ประกอบของ "ชาติ" ในด้านเศรษฐกิจ, ดินแดน, ภาษา,และวัฒนธรรม สั่นคลอน คล้ายๆถูกบ่งการจากประเทศเจ้าอาณานิคม ซึ่งไม่มีแล้วในยุคนี้
ไม่ว่าประเทศไหนที่เป็นระบอบเผด็จการในทางการเมืองก็จะมีลักษณะเดียวกับที่ประเทศไทยเป็นอยู่ขณะนี้
ซึ่งโดยเนื้อในแล้ว ก็คือ ไทยยังมีเอกราชอย่างสมบูรณ์ แต่ความเป็นเอกราชในทางการเมืองของไทยก็ถูกชี้นำจากคนส่วนน้อย หรือ ระบอบเผด็จการเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ มีการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างผู้ปกครองด้วยกันเอง และการแย่งชิงอำนาจกันเองนี้เป็นเพราะทฤษฏีทางการเมืองที่ผิดหลักวิชาถูก ครอบงำมาอย่างยาวนาน จนทำให้ "ชาติ" เกิดความไม่มั่นคงและไม่ปลอดภัยจากประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะจากประเทศที่เป็นประชาธิปไตยและเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ
ความคิดเห็นในเรื่องลักษณะสังคมไทยเคยวิเคราะห์ที่ผิดพลาดมาแล้วจนกำหนดการ เคลื่อนไหวเพื่อได้อำนาจรัฐด้วย " แนวทางรุนแรง" การต่อสู้ด้วยอาวุธเป็นสงครามกลางเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ที่กำหนดลักษณะของชาติไทยว่าเป็น " กึ่งเมือง กึ่งศักดินา" ซึ่งเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง
เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจว่าไทยยังมีเอกราชทางการเมือง ไม่ได้เป็นเมืองขึ้นหรือเป็นประเทศอาณานิคมของใคร ก็ดูจากขณะนี้ แม้รัฐบาลไทยจะถูกประเทศประชาธิปไตยและมหาอำนาจเล่นงานทางเศรษฐกิจขนาดไหน รัฐบาลไทยก็ยังมีความเป็นอิสระในทางการเมืองและนโยบายทางการเมือง แม้การรัฐประหาร,การเลือกตั้งการร่างรัฐธรรมนูญของไทยก็ทำแล้วทำอีกก็ไม่ เห็นมีรัฐบาลเจ้าอาณานิคมประเทศไหนมาบ่งการ
ซึ่งลักษณะต่างๆที่เกิดขึ้นทางสังคมไทย นั้น เป็นเรื่องของนโยบายทางการเมืองและผลของ "ระบอบเผด็จการ" ทั้งสิ้น ไม่ใช่ผลจากระบอบประชาธิปไตย เช่น เรื่องการทุจริตคอร์รับชั่น เงินใต้โต๊ะ ,ความยากจน ฯลฯ เหล่านี้ล้วนมาจากผลพวงของระบอบเผด็จการทางการเมืองของประเทศเอกราชของไทย ไม่ใช่มาจากผลพวงของเจ้าอาณานิคมที่จะส่งออกการทุจริตคอร์รับชั่น, ความยากจนมาสู่ประเทศไทย
ดังนั้น ไทยไม่มีเจ้าอาณานิคมอย่างที่ ศ. ไมเคิล เฮิร์ซเฟลด์ จากอาร์วาร์ด อีกแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกล่าวถึงความเป็นประเทศอาณานิคมอีกต่อไป คนไทยไม่สมควรจะไร้ซึ่งศักดิ์ศรีแม้แต่จะอธิบายถึงชาติตัวเอง
เพราะฉะนั้น ในความภาคถูมิใจในความเป็นเอกราช แต่ในความเป็นระบอบเผด็จการของไทยก็ทำลายศักดิ์ศรีของประเทศไทยทางอ้อมและ ทำลายความไม่มั่นคงของชาติไทย เช่นกัน และคนที่ทำลายชาติจะต้องมีอำนาจอธิปไตยและมีอำนาจรัฐ เท่านั้น ประชาชนที่ไม่ได้ถืออำนาจอธิปไตยไม่มีสิทธิทำลายชาติและทำลายความมั่นคงของ ชาติ

นปช.ปลุกแนวร่วมใส่เสื้อแดง 1 พ.ย. ปกป้อง"ยิ่งลักษณ์"ไม่ผิดคดีจำนำข้าว

นปช.ปลุกแนวร่วมใส่เสื้อแดง 1 พ.ย. ปกป้อง"ยิ่งลักษณ์"ไม่ผิดคดีจำนำข้าว


​กลุ่มเครือข่ายคนเสื้อแดงบนโลกโซเชียลมีเดีย ได้โพสต์เชิญชวนให้สมาชิกกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ใส่เสื้อแดงในวันที่ 1 พ.ย. เพื่อให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกดำเนินคดีโครงการรับจำนำข้าวทั้งทางแพ่งและอาญา

ทั้งนี้ นายวรชัย เหมะ อดีต สส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. ระบุว่า การนัดใส่เสื้อแดงในวันที่ 1 พ.ย. ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ไม่ใช่การชุมนุม กฎหมายไม่ได้ห้าม และ นปช.ก็ไม่ได้เป็นคนต้นคิด แต่เป็นการเชิญชวนตาม โซเชียลมีเดีย

"การที่คนนัดใส่เสื้อแดง เพราะรู้สึกว่าคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ยุติธรรม สองมาตรฐานรีบเร่ง และหากรัฐบาลจะห้ามไม่ให้ใส่เสื้อสีแดง ดูจะเป็นการจำกัดสิทธิของประชาชนมากเกินไปหรือไม่ แต่ถ้าจะห้ามขอให้นายกฯ ใช้มาตรา 44 ระบุมาเลยว่า วันที่ 1 พ.ย.นี้ ห้ามใส่เสื้อสีแดง จะได้รู้กันว่าบ้านเราใส่เสื้อสีแดงไม่ได้" นายวรชัย ระบุ

ขณะที่พรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์ ระบุว่า นโยบายจำนำข้าวเป็นแนวคิดช่วยเหลือชาวนาให้ได้รับประโยชน์สูงสุด มิใช่นโยบายประชานิยม และถือเป็นหนึ่งในสัญญาประชาคมที่พรรคเพื่อไทยได้รับการยอมรับจากประชาชน ซึ่งไม่มีประเทศใดในโลกนำโครงการเหล่านี้มาพิจารณาในเรื่องกำไรขาดทุน และหากโครงการรับจำนำข้าวผิด โครงการประกันราคาข้าว โครงการ ปรส. ต้องถูกตีความว่าขาดทุนและทำให้ประเทศชาติเสียหายทั้งสิ้น และผู้รับผิดชอบต้องถูกดำเนินคดีเช่นกัน

"การประโคมข่าวเรื่องการทุจริต หรือการปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริต เป็นกลวิธีหรือวาทกรรมที่ต้องการสร้างกระแสความชอบธรรมทางการเมือง เพื่อทำลายและปรักปรำ น.ส. ยิ่งลักษณ์ อย่างเลวร้าย และไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง จึงขอให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการพิจารณาเหตุผลและข้อเท็จจริงดังกล่าว" แถลงการณ์ระบุ

พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีรับทราบความเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงแล้ว และขอให้ประชาชนใช้ดุลพินิจว่าการแบ่งสีด้วยการเชิญชวนการแต่งเสื้อสี จะเป็นการทำให้เกิดการแบ่งแยกขึ้นในสังคมอีกหรือไม่ ถ้าเอาความรู้สึกส่วนตัวเป็นที่ตั้งจะทำให้การแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองลำบาก

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หากรัฐบาลไม่ดำเนินการก็จะมีความผิด เพราะคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่งเรื่องมา ส่วนโครงการอื่นๆ ไม่มีการส่งเรื่องมาจึงไม่สามารถดำเนินการได้  รัฐบาลจึงไม่มีสิทธิที่จะพิจารณาว่าโครงการใดมีความผิดหรือไม่

"ที่เล่นงานกันเรื่องจำนำข้าวทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะ ป.ป.ช.เขาบอก แต่เขาเคยบอกมาแล้วว่าวันที่เท่านั้น เวลานั้น แล้วยังเพิกเฉย จึงมีเรื่องอยู่ขณะนี้" นายวิษณุ กล่าว

"ปฏิญญาฟินแลนด์" คืออีก 1 ในความสกปรกของการเมืองไทย โดย Johnnie Red Label


.........
"ปฏิญญาฟินแลนด์" คืออีก 1 ในความสกปรกของการเมืองไทย

มีคนโดนฟ้องไป 4 คน เพราะดันไป "มโน" หมิ่นประมาท "ทักษิณ"
ว่าริอาจจะเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยด้วย "ปฏิญญาฟินแลนด์"

คือ

1.นายปราโมทย์ นาครทรรพ
ผู้ซึ่งเคยได้รับเชิญไปงานของ US Embassy
แต่โดน "เหลี่ยมทางการทูต" ของไอ้กันประจานแบบเนียนๆ
ด้วยการระบุที่หน้าจดหมายเชิญว่าเป็น Anti-Thaksin Activist

2.นางสาวเสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์

3.นายขุนทอง ลอเสรีวานิช

และ 4.นายปัญจภัทร อังคสุวรรณ

3 ตัวหลังนี้ทำมาหารับประทานอยู่กับสื่อในเครือไอ้แป๊ะลิ้ม

หลังจากต่อสู้คดีกันมานาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกนายปราโมทย์ และ นายขุนทอง คนละ 1 ปีและปรับเงินคนละ 1 แสนบาท แต่โทษจำคุกนั้นศาลให้รอลงอาญา 2 ปี

จำเลยทั้ง 2 ขออุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องนายขุนทอง (รอดไปนะเมิง)

ส่วนนายปราโมทย์สู้ถึงฎีกา
ซึ่งศาลฎีกาได้พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์
นั่นก็คือจำคุกนายปราโมทย์ 1 ปี และ ปรับ 1 แสนบาท

แต่โทษจำคุกนั้นให้รอรอลงอาญา 2 ปี

คำถามก็คือไอ้ที่ไปกล่าวหาเขาไปปลุกปั่นเหล่าสาวก ว่า ทักษิณ จะเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยด้วย "ปฏิญญาฟินแลนด์" นั้น

ปลุกปั่นกันจนสาวกเชื่อ
ปลุกปั่นกันจนคนอื่นเสียหาย
ไอ้พวกนี้มันคิดที่จะสารภาพบาป และ เอ่ยคำขอโทษเขาหรือไม่ ?????

ปฏิญญาฟินแลนด์ไม่ใช่เรื่องเล็กๆนะครับ
เพราะในรายละเอียดที่ไอ้พวก "ปากมอม" มันพูดกันเมามันส์นั้น 5 ข้อของปฏิญญาฟินแลนด์ มันสร้างความเสียหางในทางภาพพจน์ให้อีกฝ่ายอย่างมหาศาล

มีการ"มโน"กันว่า
เรื่องนี้เกิดขึ้นในปี 2542
โดยเครือข่ายทักษิณ นั่งเครื่องบินไปคุยกันที่ฟินแลนด์

แหมๆๆโคตรจะขรรมเลยว่ะ

พรรคไทยรักไทย ก่อตั้งกลางปี 2541
นี่แสดงว่าพอก่อตั้งขึ้นมาก็ไม่ต้องคิดหาทำอะไรเลยหรือ ??
ไม่ต้องทำ Action Plan ทำ Research เพื่อจะต่อสู้ในสนามเลือกตั้งเลยหรือ ??

ก่อตั้งมาได้แค่แป๊บเดียวกลางปี 41พอปี 42 ก็เฮโลกันไปทำเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์เลยหรือ ??

แถมยังต้องเสียค่าเรือบิน
เพื่อที่จะลากสังขารไปคุยกันในอากาศหนาวๆ
กับไอ้ 5 ข้อ ที่ไอ้พวกแก๊งนี้เอามากล่าวหาเขาด้วยหรือ ???

แหมมมม....เช่าโรงแรมคุยกันที่เมืองไทยก็ได้ครับ..ยิ่งคิดยิ่งขำว่ะ..!!!!!!

จริงๆแล้วคนที่เริ่มพล่ามเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ น่าจะเป็น "คนดี" ที่ชื่อ

"นายโสภณ สุภาพงษ์" ครับ

เพราะไอ้หมอนี่ไปเจื้อยแจ้วไว้ในงานเสวนา
ก่อนที่จะไปพล่ามต่อในรายการทีวีของไอ้แป๊ะลิ้ม

5 ข้อที่ว่าของ "ปฏิญญาโจ๊ก" ก็คือ

1.ต้องยึดรากหญ้าให้ได้

2.ใช้ทุนนิยมเป็นระบบเศรษฐกิจหลักของประเทศ

3. จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว

4.รื้อระบบราชการทั้งหมด

5.เป็นเรื่องที่มิบังควรเขียน เพราะอาจกลายเป็น "หมอหยอง" ไปอีกคน

แถมยังมีการโยงด้วยว่า
ไอ้พวกที่นั่งเครื่องบินไปคุยกันนั้น เป็น "นักเคลื่อนไหวที่อยู่ในพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย"

อั้ยย่ะ!!....เมารึเปล่าว๊ะ ???

ในปี 2542 นั้น พรรคคอมฯมันยังมีอยู่อีกหรือ ???
พรรคนี้มันยังทำกิจกรรมทางการเมืองอีกหรือ ???

จะป้ายสีพรรคไทยรักไทย
แต่ดันเสือกโยงไปถึงพรรคคอมฯ

โคตรจะมีจินตนาการเลยว่ะ...5555555..........

และ ที่ขำชนิดสุดกระดิ่งติ่งแมวก็คือ
การที่ไอ้แก๊งนี้"มโน" เพื่อที่จะสะกดจิตสาวกว่า
ไอ้นักเคลื่อนไหวที่อยู่ในพรรคคอมมินิสม์ดันเสนอให้ใช้ เศรษฐกิจแบบทุนนิยม...!!!!

โอ๊ยยยย...มีอะไรฮาไปกว่านี้มั๊ยเนี่ย...!!!!!

เป็นคอมมิวนิสท์ แต่ทะลึ่งเสือกชอบทุนนิยม (สาวกมันก็ดันเชื่ออีกต่างหาก)

ยังไม่นับว่าเรื่องนี้เกิดขี้นในปี 2542 (หากมันเกิดขึ้นจริง)
แต่กว่าเรื่องจะแดงเป็นที่โจษจันดันใช้เวลาถึง 7 ปี เพราะมาแดงเอาในปี 2549

แหมมมมมมมม...

สงสัยแก๊งไอ้แป๊ะลิ้มนี่มันใช้ "โทรเลข" สื่อสารกันแน่ๆ

กล่าวหาเขามันส์ปากจนเขาเสียหาย
และ ถูกตราหน้าว่าอยากเป็นประธานาธิบดี

กล่าวหาเขาอย่างสนุกสนาน โดยไม่มีพยานหลักฐานยืนยัน

กล่าวหาเขาอย่างต่อเนื่อง
โยงไปนั่นไปนี่แบบขาด Logic

ถึงวันนี้มีคำพิพากษาออกมาแล้วว่า
ไอ้สิ่งที่ใส่ร้ายป้ายสีเขามาตั้งแต่ปี 2549 นั้น
มันล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ไอ้แก๊งนี้โกหกมดเท็จทั้งสิ้น

และที่น่ากลัวก็คือ ไอ้พวกแก๊งนี้บางตัว
ยังอยู่ดีมีสุขและได้ดิบได้ดี

หลังรัฐประหาร 22 พค.57 อีกต่างหากครับ....!!!!!!!

************************

ศาลฎีกา พิพากษา คุก1ปี ปรับ1แสน "ปราโมทย์ นาครทรรพ" หมิ่นทักษิณ ปฏิญญาฟินแลนด์

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1445399872